ที่ผ่านมาการเก็บข้อมูล หรือการจัดการข้อมูลช่วยให้เรารู้ insights และพฤติกรรมของลูกค้า โดยมีการพึ่ง cookies และ Google Analytics เป็นหลักในการให้แบรนด์เรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภคโดยที่เราไม่ต้องคิดถึงกลยุทธ์ในการเก็บข้อมูลต่างๆมากเท่าไหร่
ในปีหน้าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่แบรนด์และผู้บริโภคได้มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากต้นทางของข้อมูลที่มาจากหลายทิศทางเพื่อที่จะบอก insights และการทำโฆษณา performance marketing ผ่าน cookies เพื่อจับประสบการณ์ของลูกค้าจะจบลง
เรากำลังเข้าสู่ Phase ที่
• การใช้คุกกี้อาจจะผิดกฎหมายได้
• การรักษาข้อมูลส่วนตัวเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
• แหล่งรวบรวมข้อมูลที่เคยอยู่แค่เพียงปลายนิ้วของเรา โดยปกติจะสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ได้อย่างง่ายดาย แต่ต่อจากนี้อาจจะไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกต่อไป ร้านค้าหรือแบรนด์ใหญ่ๆได้ถูกบังคับให้มีการปรับการเก็บข้อมูลของตัวเอง และลงทุนในโอกาสใหม่ๆ เพื่อที่จะรักษาลูกค้าและเปลี่ยนผู้บริโภคให้เป็นลูกค้า และขณะเดียวกัน ผู้บริโภคมีการติดต่อกับแบรนด์ในจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- กลุ่มเป้าหมายของ performance โฆษณา
- ช่องทางของสื่อต่าง ๆ
- Social Commerce
- พี้นที่ของแบรนด์เองอย่างเว็บไซด์
The Personal Touch
ความคาดหวังและความต้องการของผู้บริโภคมีการพัฒนาไปถึงจุดที่ความคาดหวังในประสบการณ์การช้อปปิ้งต้องไปในทิศทางเดียวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ และประสบการณ์ทุกอย่างต้องเป็นการทำแบบไร้รอยต่อ จากรายงานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ากว่า 90% ของผู้บริโภคมองหาสิ่งที่ personalize กับตัวเอง และ 80% ได้กล่าวว่า ว่าสินค้าจะมีความน่าสนใจ หากแบรนด์ได้มีการทำ personalization
สำหรับแบรนด์ที่จะอยู่รอด การทำ personalization เพื่อที่จะสร้างการมีส่วนร่วม กับลูกค้า และนำเสนอประสบการณ์หลังจากคลิกและนำไปสู่หน้า landing page ของเว็บไซต์ การที่จะทำแบบนั้นได้แบรนด์ต้องเรียนรู้วิธีการเก็บ การจัดการ และการนำข้อมูลเข้ามาใช้งานอย่างถูกต้อง
คุณพร้อมที่จะใช้การ personalization แล้วหรือยัง?
ความสามารถในการทำ personalization นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและประสบการณ์ในการใช้ platform รวมถึงความละเอียดของข้อมูลที่ได้รับการจัดเก็บ
การทำ “Persona” เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี การค้นหาและการสร้าง cluster ของผู้บริโภคประเภทต่างๆ ทำให้เราเข้าถึง insight ในการเลือกสินค้า อุปนิสัย สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ และอื่นๆอีกมากมายของผู้บริโภค การนำ insight เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้บริโภค สามารถทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงตัวสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้นด้วยเนื้อหา และทำให้พวกเขาเข้ามาเสพเนื้อหาเพิ่มเติมกับเราในช่วงเวลาหลังจากนั้น
แบรนด์ของคุณสามารถไปได้ไกลกว่านั้นมั้ย “Hyper-Personalization”
แบรนด์ต้องมองในระยะยาว และ คิดเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อกับผู้บริโภค การนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับแบรนด์มากขึ้น สามารถช่วยใช้แบรนด์ต่างๆได้ดังนี้
• Facial recognition และ Voice recognition บนเว็บไซต์
• การประเมินความต้านทานของการปรับราคา
• การขยายช่องทางการ personalization และ predictive shopping รวมถึงการทำ real-time โปรโมชั่นและการนำเสนอราคาแบบ real-time และการนำเสนอเนื้อหาที่เหมาะสมกับประวัติและข้อมูลของลูกค้าแบบทันท่วงที
การเพิ่ม FLOW ผ่าน personalization
ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใหญ่หรือร้านค้าเล็กจะพบว่าเราสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้หลายแง่มุม รวมถึงการทำ personalizationโดยใช้ช่วงเวลาต่างๆ ได้ด้วย แต่การ engage นั้นจะต้อง
• เกี่ยวข้องกับตัวของผู้ที่เรา engage ด้วย
• ต้องเป็นสิ่งที่เชื่อถื่อและไว้ใจได้
• ต้องสะดวกกับการเข้าถึงและใช้งาน
• ต้องให้ผู้บริโภคในสิ่งที่เค้าอยากได้ ต้องให้ในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ
ที่ Reprise การทำ e-commerce ของเราให้เครื่องมือที่เราคิดค้นขึ้นมาชื่อว่า FLOW OS ซึ่งใช้มากกว่า 400 จุดข้อมูลต่างๆให้แต่ละช่วงโอกาสของการซื้อสินค้าและ path to purchase โดย FLOW OS จะไปเข้าไปค้นหาสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคสะดุดตา ในการซื้อสินค้าเพื่อให้เราสามารถปิดการขายให้ได้เร็วที่สุด
แบรนด์สามารถดูในเครื่องมือ analytic ที่มีอยู่แล้ว และสร้างจากตรงนั้นได้ ซึ่งทาง Reprise มี expert ในการช่วยวิเคราะห์ ด้าน D2C ecommerce. เรามีการใช้เครื่องมืออย่างเช่น Precision Content Engine เพื่อสร้าง Custom Ad สำหรับแต่ละคน เพื่อให้เนื้อหาที่ใช้ไปสู่ผู้บริโภคที่ใช่ และนำเขาไปสู่เนื้อหาที่ใช่บนเว็บไซต์ต่างๆ
ต้องการสอบถามเพิ่มเติมว่า Reprise Digital สามารถช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการใข้ Data เพื่อทำการ personalization ได้อย่างไร สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.reprisecommerce.com
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,800 วันที่ 14 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2565