ฝึกจิตใจให้เป็นที่พึ่งแห่งจิตใจได้ก็หมดทุกข์

09 เม.ย. 2568 | 22:30 น.

ฝึกจิตใจให้เป็นที่พึ่งแห่งจิตใจได้ก็หมดทุกข์ คอลัมน์ ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญ

การยอมรับบุคคลหรือวิธีการการปฏิบัติ ในหลักพุทธศาสนาแบบมหายานนั้น มีแนวคิดที่แตกต่างจากเถรวาทที่ยึดในจารีตประเพณี และคัมภีร์อย่างเคร่งครัด

แม้ว่าพุทธศาสนามหายานจะมิได้เน้นการยึดตามจารีตคัมภีร์อย่างแนบแน่น แต่ก็ใช่ละทิ้งในคัมภีร์นั้นเสียเลย แม้แต่แนวการปฏิบัติของคุรุทั้งหลาย ที่มาเผยแพร่ ก็ต้องมีจุดที่เชื่อมโยง ถึงคำสอนในคัมภีร์ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย​ แต่จะไม่นิยมนำมาทั้งท่อน แล้วขยายความเป็นอรรถและพยัญชนะแบบเถรวาท​เสียเท่าไหร่นัก

นี่เป็นความแตกต่าง จึงทำให้พุทธศาสนามหายาน มีแนวทางปฏิบัติค่อนข้างกว้างและทำให้ กลุ่มคนชาวตะวันตกหันมานิยมศึกษา พอๆ กับพุทธศาสนา เถรวาท

อัตตาหิ​ อัตตโนนาโถ​ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ปรากฏชัด ทั้งในเถรวาทและมหายาน การพึ่งตนเองในที่นี้มีความหมายลึกซึ้ง ทั้งทางด้านรูปธรรมและนามธรรม

ในด้านรูปธรรมย่อมเข้าใจกัน การใช้ชีวิตทั้งหลายให้พึ่งตนเอง ในทุกๆ ด้านให้มากที่สุด ส่วนในด้านนามธรรมนั้น ผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ

ด้านนามธรรม​ คือ ความคิดความรู้สึก​ รวมแล้วเรียกว่าจิต ถ้าเราได้เรียนรู้ การฝึกจิต การฝึกใจของเรา ให้เป็นที่พึ่ง ของเราเองได้ ย่อมจะทำให้เกิดประโยชน์ต่างๆ มากมาย ในการดำรงชีวิต

โรคที่ถูกเรียกชื่อขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าและอื่นๆ​ ล้วนเป็นโรคที่เกิดจากจิตใจขาดที่พึ่ง ไปยึดไปเกาะ ไปเหนี่ยวเกี่ยวกับสิ่งภายนอก เป็นที่พึ่งมากเกินไป อาทิ ไปยึดบุคคล ไปยึดวัตถุ ไปยึดสถานที่ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นตามปรารถนา ความคิดความรู้สึก ก็หวนไประลึก วน คิดอยู่แต่เรื่องเหล่านั้น นานวันเข้าก็จมกับอารมณ์ ไม่อยากพูดคุยกับใครอยากอยู่เงียบๆคนเดียว เพื่อวนคิดเรื่องเก่าๆ ซ้ำๆ ไปมา นี่คือโรคซึมเศร้าในปัจจุบัน

แต่ถ้าเรารู้จักนำเอาความคิดความรู้สึก มาพึ่งมาพักอยู่ที่ใจตัวเองได้ ด้วยแนวคิดฝึกให้ใจเป็นที่พึ่งแห่งใจได้​ เราก็จะมีความสุขมากขึ้น ​ผู้คนที่เป็นซึมเศร้าก็จะจางคลายในความยึดติดได้​

แนวทางนี้​ข้อแรกที่ต้องฝึกกัน​คือ​ ไม่เอาความคิดความรู้สึก​ ส่งออกไปข้างนอกตามที่ตาหูจมูกกาย ได้เห็นได้สัมผัสมากเกินไป ในช่วงขณะที่ฝึกใหม่ๆ​ พยายามนำความคิดความรู้สึก กลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของตัวเองบ่อยๆ จะทำให้ลดทอนอาการปรุงแต่งต่างๆ ได้​เป็นอย่างดี

เมื่อไหร่ที่จิตคือ​ ความคิดความรู้สึกส่งออกนอกกาย​ไปรู้สึกกับสิ่งที่ได้เห็นได้ยิน​ ให้รีบมีสติกลับมาอยู่กับลมหายใจทันที​ ฝึกบ่อยๆทำซ้ำๆ​ จิตจะเคยชิน​ เมื่อนั้นจะทำให้เรารู้สึกเบาขึ้นสบายขึ้นคลายความกังวลได้​

เมื่อปฏิบัติขั้นตอนแรกจนเกิดความชำนาญแล้ว​ จิตกลับมาอยู่กับตัวเป็นปกติได้เองแล้ว​ ขั้นต่อมาสิ่งที่ปรากฏ​ ให้สังเกตุตนเองทุกครั้งที่ตื่นนอน​ครั้นเมื่อตื่นนอนแล้ว​ ลองเฝ้าสังเกตุความคิดความรู้สึกว่า เกิดความคิดความรู้สึกอะไรไหม แต่โดยมากจะไม่เกิด​ จะนิ่งๆ สงบๆ ตามธรรมชาติในสภาวะของจิต​ เพราะโดยเนื้อแท้จิตใจของเราทุกคน​ มีความนิ่งสงบเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว​แต่ที่เป็นทุกข์เพราะจิตส่งออกนอกตัวไปยึดสิ่งต่างๆ จนทำให้เป็นทุกข์นั้นเอง​  

ขั้นต่อมา​ เมื่อเราฝึกชำเลืองจิตตอนตื่นนอนได้ผลลัพธ์เห็นความคิดความสงบของความรู้สึกแล้ว​  เวลาใช้ชีวิตประจำวัน​ เราก็พยายามหันมาสังเกตุชำเลืองความคิดความรู้สึกบ่อยๆ​ การทำบ่อยๆ จะทำให้เห็นวิหารธรรมของจิตเราเองว่าไปพึงอาศัยจิตเองเป็นที่พึ่ง​ ในช่วงโมงยามระหว่างวัน​  

ตรงนี้เองที่เรียกว่า​ ใจเป็นที่พึ่งแห่งใจ​ เมื่อสามารถทำให้ใจหรือจิตมีที่พึ่งแห่งใจได้แล้ว​ ก็จะทำให้ความทุกข์น้อยลง​ เพราะเราส่งจิตออกนอกน้อยลง​ สนใจเรื่องนอกตัวน้อยลง​ จึงทำให้เราสงบมากขึ้นนั้นเอง​ 

การฝึกอะไรต่างๆ บนโลกนี้ ไม่สามารถได้มาอย่างรวดเร็วได้ ต่างต้องใช้เวลา ในการฝึกฝน เรียนรู้ ให้เป็นประสบการณ์ทางจิต เกิดขึ้นเองได้ด้วยตัวเอง แล้วเราจะมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

หลวงปู่ดูลย์​ อุตตโล​ ท่านจึงพร่ำสอนอยู่เสมอว่า อย่าส่งจิตออกนอก เพราะเป็นสมุทัย คือ​ ต้นเหตุแห่งทุกข์

จึงได้กล่าวว่า​ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้น​ ทั้งมหายานและเถรวาท​ มีปรากฏเหมือนกันและหมายถึง​ การฝึกใจเป็นที่พึ่งแห่งใจ​ นั่นเอง