KEY
POINTS
ชายหาญเปนคำล้านนา ซึ่งควรจะแปลว่า คนกล้า ซึ่งเปนลักษณะของคนดี (ซึ่งก็อีกนั่นละ) ทางเหนือไม่ได้แปลว่า good หรือว่า ethical แต่แปลว่า คนเก่ง มีวิชา ส่วนจะใช้วิชานั้นในทางดีหรือไม่ก็อีกประเด็นหนึ่ง 55 บางคราวใช้เชิงเหยียดเหมือนภาคกลางเรียก ‘(ไอ้)ตัวดี’ ก็มีเช่น อ้ายนายคนดี เปนต้น
ชายหาญ มีลักษณาการเปนคนกล้า กล้าจะออกเดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองลำพัง แม้จะยามออกศึกสงครามก็ไม่หวั่น ชายหาญรู้วิธีกัน รู้วิชาแก้ เข้าป่าก็ป้องกันสัตว์ร้ายและเหล่าสัตว์อาถรรพณ์ต่างๆไว้ได้ เพราะชายหาญแกดี แกมีวิชา มีครู มีของดีคุ้มครองตน จากบ้านไกลก็ปลอดภัยยามเดินทาง และ ในเวลาเดียวกันก็ สร้างความอุ่นใจให้ผู้คนแม้เวลาอยู่บ้านเคหะสถานถิ่น
ชายหาญเจรจาค้าขายเก่ง รบทัพจับศึกก็คล่อง บางที่เรียกหนุ่มเสิกหาญ (หนุ่มเสือหาญ/หนุ่มศึกหาญ)เวลาเข้าร่วมขบวนการกู้ชาติ
บนดินแดนที่ปัจจุบันเปนรอยต่อของพม่า/ลาว/จีน/ไทยนั้น เดิมทีเปนบ้านเมืองของปวงเขา มีเมืองเล็กเมืองน้อยอยู่กันกระจัดกระจาย แต่เอกลักษณ์ร่วมที่บ่งบอกถึงลักษณะดินแดนบ้านเมืองละแวกนั้น คือ น้ำแม่จะไหลแรง ตลิ่งค่อนจะสูง อากาศเยือกหนาวมีหมอกขาวขึ้นหนา พระเจดีย์ผุดขึ้นริมฝั่งน้ำ ราวกับเวิ้งพระธาตุ เรียกกันแต่เก่าก่อนว่า ดินแดนสุวรรณโคมคำ แคว้นหมอกขาวมาวหลวง
ชายหาญแดนสุวรรณโคมคำ สักยันต์สักยาตามตัว สะพาบดาบแลวหลูบเงิน (แลว_แปลว่าดาบ/หลูบ คือการหุ้ม) เหน็บมีดน้อยหางปลาแฟนให้มา โพกผ้าใส่หมวกกูบ ห้อยตะกรุดลูกประคำ เครื่องราง (ใช้ร. เรือเพราะเก็บอยู่ในรางไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นของโชคลาง)
เมื่อยังเล็ก ชายหาญจะต้องไปบวชเณร พอโตขึ้นแล้วก็ ต้องสักลายซะหน่อยเพื่อแสดงความเป็นผู้ใหญ่ว่าไม่กลัวเจ็บ ลายนี้ต้องสักที่หน้าขา ไปยังแก้มก้น มีครูบาอาจารย์สักให้ สักที่หน้าท้องด้วยหัวหน่าวด้วย(คนไทยเรียกว่าพุงดำ) แล้วก็ไปแอ่วสาว โดยจะต้องมีความสามารถเชิงช่างอะไรสักอย่างหรือไม่งั้นต้องเล่นดนตรีหรือร้องเพลงได้ เพราะผู้ชายหาญล้านนาต้องโรแมนติก ตกกลางคืนแต่งตัวให้สวยดีแล้วก็เดินเป่าขลุ่ยสีพิณไปหาสาวที่บ้านเขา (ใช้คำว่าสวยเพราะชายหาญหน้าตาต้องหล่ออยู่แล้วจะแต่งตัวให้หล่อเข้าไปอีกมันยากเกินไป แต่งให้สวยถึงจะถูกใจฝ่ายสาว) ส่วนวิชาให้เขารักครูบาสอนเอาไว้ตั้งแต่ตอนเปนเณรเรียกคาถาสาวหูม ส่วนวัสดุอาถรรพ์อื่นก็พกไปบ้างอาจจะเป็นพวกอิ่นหรือน้ำมันหอม
ถึงที่แล้วจึงนั่งคุยกันอยู่ใต้ถุนบ้าน พ่อแม่สาวก็นอนอยู่ข้างบนคอยเงี่ยหูฟังและกระแอมกระไอดักคอ พอแอบจับไม้จับมือกันได้ ก็เอานิ้วกลางเขี่ยแตะน้ำมันของครูบา ไปเเตะต่อไว้ที่ใจกลางมือของฝ่ายสาวเปนทำนองว่าฝากรักฝากใจเอาไว้ แต่ที่จริงก็เล่นของนั่นแหละ55 ถ้าสาวเขามีใจ เขาก็จะทำบุหรี่เอาไว้ให้ ฝากให้เราเอากลับไปสูบ สูบไปก็คิดถึงเขาไป หากจะต้องเดินทางไกล ฝ่ายสาวก็จะทำมีดน้อยขนาดสักคืบหนึ่งเอาไว้ให้ติดตัวไปใช้เวลาเดินทาง เพราะเวลาเดินทางต้องใช้ตัดไอ้โน่นปอกไอ้นี่เป็นประจำจะได้คิดถึงกัน ที่เชิญมานี้เปนมีดน้อยหางปลาเงิน ผ.ศ. วิลักษณ์ ศรีป่าซางเก็บสะสมไว้ สวยงาม rustic มากๆ
ชายหาญ กล้าจะเดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองลำพัง มีม้าตัวนึงก็สบายละ แต่โดยมากชายหาญจะมีม้าอานทอง_มีมูลค่า อย่างว่าเป็นม้าวิเศษ เปรียว_ทน_อึด_ฉลาด ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็เหมือนเดินทางไปไหนใช้รถเยอรมันวิศวกรรมดีเยี่ยม มีสมาร์ทโฟน55
หากว่าพูดให้เป็นวิชาการ ชายหาญ ย่อมจะมีลักษณะเปน Spiritual male (ไหว้สาโดยจารีตผูกพันกับศาสนา) ปนกับ Chivalic male (นักรบผู้กล้า อาสาช่วยคน) โดยมีกรอบความเปน Bourgeois Male (กระฎุมพี) กำกับไว้คือ มีและรักความเปนอิสระ มักชอบพิสูจน์ความสามารถในการเปนนายทุน แทนสังคมชนชั้นศักดินาเดิม ส่วนความเปนกบฏหรือ Rebailion ชายหาญไม่ค่อยมี ชายหาญไม่ขี่รถฮาร์เล่ย์ ไม่ไว้ผมยาว เล็บยาว เพราะนอกจากถือจารีตแล้ววันวันก็วุ่นวายอยู่แต่ปากท้องและสละเวลาเพื่อการแก้ปัญหาถูกกดขี่และครอบงำอิสรภาพจากผู้คุกคามแผ่นดินตนเองอยู่แล้ว ไม่รู้จะไปกบฏหรือปฏิวัติเจ้ามูลนายเหนือหัวของตนเองทำไม เว้นไว้เสียแต่ว่าวันนึงเจ้าเหนือหัวทำตัวครอบงำอิสรภาพและเอาบูรณภาพแห่งดินแดนไปขายเสียเอง วันนั้นแหละชายหาญจึงจะเริ่มคิดการ วางแผนชั่วร้ายกับประดาสล่า ครูหมอ และขุนนางใจซื่อ หาทุนกู้แผ่นดิน
อันว่าผู้ชายล้านนานี้ ท่านว่ามีความ “เชื่อมโยงกับศาสนา” ตั้งแต่เกิดจนตาย บวชเรียนตามประเพณีเมื่อถึงเวลา เรียนวิชาสัจจะความจริง ให้เข้าใจ เกิด แก่ เจ็บตาย และวิธีการรับมือ การณ์อันนี้ทำให้ผู้ชายล้านนามีลักษณะอ่อนน้อม ใจเย็น
เมื่อมีฐานะแล้วจะต้องทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ทำสังคายนา สร้างวัดการจัดประเพณีพิธีกรรม ฯลฯ ซึ่งนัยยะหนึ่งเปนการแสดงอำนาจให้ชุมชนได้รับรู้ ในทุกๆระยะที่บ้านเมืองไม่เคยจะมั่นคง ผู้ชายล้านนาโดยเฉพาะชายหาญนี้ จะผูกติดอยู่กับ “การต่อสู้ทางการเมือง” ซึ่งเปนผลมาจากการพยายามยึดครองดินแดนของประเทศภายนอก การออกไปเที่ยวไปเผชิญหน้าในดินแดนต่างๆของชายหาญทำให้ชายหาญเป็นผู้มีความรู้เห็นมาก ทำให้รับมือ(เผชิญ) กับการเปลี่ยนแปลงทางรัฐศาสตร์และสังคมวิทยาได้ดี
ในทางละเม็งละครจะพบว่าตัวละครชายล้านนาในหนังที่สร้างยุคหลังส่วนใหญ่ จะให้มีฉาก ฟ้อนเจิง ดาบ หรือ รำดาบ ผู้ชายล้านนามีการเรียนรู้และฝึกฝน “เชิงมวยเชิงดาบล้านนา” อันเปนหนึ่งในศิลปะป้องกันตัวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เล่นเชิงดาบเชิงมวยกันได้หมด ทั้งชนชั้นสูงและชั้นไม่สูง ซึ่งก็คือศิลปะการต่อสู้นั่นเองซึ่งต่อมาอาจเปลี่ยนเป็นศิลปะการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเงินทองหรือวิชาเชิงการค้าในกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง ตอนที่เขาเลิกรบกันแล้ว
เรื่องที่น่าสนใจนั้นคือคนมีวิชาจริงๆก่อนที่จะฟ้อนดาบจะมีการตบผาบ (ปราบ) คือการรำเอามือตบตามตัวเสียก่อน ให้เกิดเสียงเพี้ยะพะ_ข่มศัตรู ผู้ที่มีฤทธิ์บางท่านตบมะผาบตามตัวเกิดเป็นประกายไฟขึ้นทุกครั้งที่ตบ สร้างความหวั่นไหวแก่ฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างมาก เพราะแค่มือเปล่าไม่ใช้อาวุธยังแรงขนาดนี้ ลีลาตบผาบที่ดีมักมีท่าทางยั่วเย้าให้คู่ปรปักษ์บันดาลโทสะ โดยถือหลักว่าคนที่ยั่วง่ายจะขาดความยั้งคิด และเมื่อนั้นย่อมจะเสียเปรียบคนที่ใจเย็น เป็นกิริยาข่มกันก่อนการ”ลงข่วง” ต่อสู้ ปะทะฝีมือ
อีกอัตลักษณ์หนึ่งของ ผู้ชายล้านนา คือ “สักลายแขนขา” เพื่อแสดงความเข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ ในการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว การสักของฝ่ายนี้จะมีรายละเอียดของการดำเนินการแบ่งไปตามความสูงต่ำของอวัยวะในร่างกายโดยจะเริ่มจากส่วนล่างคือขาก่อน การสักขาในอดีตนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการอยู่ยงคงกระพันหรือมีคุณวิเศษแต่อย่างใดเป็นไปเพื่อการสำแดงความมีน้ำอดน้ำทนของเยาวชนที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งโดยมาตรการทางสังคมแล้วในหมู่หนุ่มๆใครที่มิได้สักขาก็จะได้รับการดูถูกเหยียดหยามโดยเฉพาะยามเมื่อไปอาบน้ำ ซึ่งตามภูมิประเทศก็เป็นลำน้ำที่เปิดโล่งทำให้เห็นกันหมดว่าใครสักใครไม่สัก ผู้ไม่มีลายที่ขาซึ่งคนอื่นเขาสักไว้เสมือนกางเกง ก็จะถูกขับออกจากกลุ่มโดยเย้าแหย่ว่าให้ไปอาบน้ำรวมกับผู้หญิงเนื่องจากเป็นคนเนื้อตัวเปล่า ลายสักที่บริเวณขาหรือก้นนี้มักนิยมสักเป็นรูปแมว หรือสัตว์ในตำนานเช่นตัวม้าวตัวมอม ใช้สีดำลงสักพื้นหนา ตามรูปของมนต์ เชียงใหม่ ที่แนบมานี้
ส่วนที่บริเวณปลายขา เช่น ข้อเท้าจะมีการลงอาคม ประกบรอยสักซึ่งเป็นลายขนาดเล็ก เจตนามีไว้เพื่อป้องกันสัตว์มีพิษกัดต่อย
ทีนี้ว่าส่วนร่างกายด้านบนคือตั้งแต่เอวขึ้นไปถึงแขนและหัวจึงจะสักคงกระพัน (ข่ามคง) และสักมหานิยม(ปิยะ) การสักข่าม(คงกระพัน) ใช้หมึกสีดำ ผสมกับตัวยาที่ได้จากการเล่นแร่แปรธาตุของครู เชื่อว่าตัวยาจะเข้าไปผสมกับเลือดลมในร่างกาย ยามมีภัยมาถึงตัวหรือจะต้องรบพุ่ง อะดรีนาลีนหลั่ง เลือดฉีดแรง (เกิดเลือดร้อน) ขึ้นมาก็จะทำให้ ยาเดินรอบตัวคุ้มครองทั้งผิวหนัง เกิดความขลังหรือความคงกระพันชาตรี ร่างกายมีความคงทนต่ออาวุธและของมีคมต่างๆ รูปที่นิยมในการสัก คือ รูปเสือ วัวกระทิง หมูเขี้ยวตัน และรูปยันต์อักขระต่างฯ ซึ่งยังมีกฎเกณฑ์ข้อห้ามที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นจะทำให้อาคมเสื่อม
ส่วนการสักมหานิยม (ปิยะ) ใช้หมึกสีแดงผสมตัวยาซึ่งครูมักจะปรุงให้เรียบร้อยแล้วปั้นเป็นรูปต่างๆทั้งเจดีย์,พระบัวเข็ม ยามจะใช้ก็ใช้ของแข็งขูดหรือคว้านเอาผงยามาผสมกับหมึกแดง ซึ่งเปนแร่ธาตุชนิดหนึ่งได้มาจากพม่า นิยมสักเปนอักขระคาถา ส่วนยันต์รูปสัตว์นั้นมักเป็น รูปนกยูงหรือกระต่าย มีจิ้งจกบ้างลงอักขระกำกับโดย อักษรพม่าอักษรไทยวน (ตัวเมือง) โดยหลังจากที่สักยามหานิยมแล้ว ผู้ถูกสักต้องรักษาศีลห้าจนครบ 7 วัน หลังจากนั้นลดเหลือศีล 2 ข้อ คือ ข้อ 3. และข้อ 5. อธิษฐานสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าครูว่าจะรักษาศีล 2 ข้อนี้ นานกี่วันกี่เดือน และต้องยึดปฏิบัติตามนั้น หากละเมิดยาที่สักก็จะเสื่อมถอยลงไป
ส่วนการสักปิยะหรือเมตตามหานิยมบริเวณช่วงหัวหน่าวท้องน้อยนั้นเรียกว่าระงาก /ระงั้ง มีอิทธิพลด้านเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามที่หมานปอง ซึ่งมีข้อแม้ที่ชายหาญจะต้องระวังคือเมื่อได้กับใครเขาแล้วด้วยอิทธิคุณของระงั้งหัวหน่าวนี้ มีหน้าที่จะต้องรับเลี้ยงดูแลเขาตลอดไปจะทอดทิ้งเสียมิได้ ครูจะลงโทษอย่างหนัก
ส่วนระดับผู้ใหญ่ที่สักถึงกระหม่อมนั้น จะต้องเป็นผู้ผ่านวันเวลามาเนิ่นนานพอสมควรจะเข้าใจความเป็นไปของโลกย์ ทั้งจะต้องรักษาศีลถือข้อห้ามที่เคร่งครัดอย่างยิ่งและตัวน้ำยาสักก็จะเป็นน้ำยาชั้นสูงซึ่งมีคุณวิเศษมากมายพอๆกับข้อห้ามและบทลงโทษเมื่อทำการละเมิดที่จะรุนแรงอย่างยิ่งถึงชีวิตตามกัน
ขอบคุณภาพ ชายหาญแต่งตัวสวยจาก @wasin_thaitextile กาดอนุสาร เชียงใหม่