ต่อจากฉบับก่อนว่าด้วยเรื่องชายหาญกับศิลปะการสักยานั้น ศิลปะวัตถุอีกอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการสักนอกจากตัวลวดลาย
ที่สวยงามน่าพิศวงแล้วก็คือยาสัก
ซึ่งทางพม่าล้านนาหลายเผ่าพันธุ์ทางโน้นบรรจงคิดสมุนไพรว่านการประสมกับแร่ธาตุและของสำเร็จบางประการเข้าด้วยกัน แล้วก็ปั้นให้เกิดเป็นรูป ต่างๆ เป็นเจดีย์บ้างเป็นแท่งลูกบาศก์บ้าง แต่ที่สวยงามมีความเป็นศิลปะสูงนั้น ก็จะดูกันที่ท่านจะปั้นเป็นอย่างตุ๊กตา
ลักษณะของยาที่นำมาทำเป็นเครื่องยาสักเพื่อปั้นนั้นโดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วยของสำคัญสามประการ หนึ่งก็คือพืชที่มีฤทธิ์วิเศษทางยาและทางที่เชื่อกันว่าให้คุณ โดยทั่วไปแล้วได้แก่หัวว่าน ต่างๆ (ซึ่งอันนี้ก็คล้ายกันกับของไทยเราที่เชื่อในเรื่องอิทธิคุณของว่าน_ว่านยา) ซึ่งถ้าจะให้เห็นภาพชัดก็คือกรณีการจัดสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ทวดเนื้อว่านในยุคแรกก่อนจะเป็นเนื้อโลหะนั่นเอง
แวะพักบรรทัดนี้พาท่านไปดูกระบวนการจัดสร้างหลวงปู่ทวดซึ่งเป็นที่โด่งดังในอดีตเสียก่อน ว่าประดาว่าน 108 ที่ท่านผู้สร้างไปตามหาเป็นของที่หายากต่างๆนานา ก็ครอบคลุมไปถึง, แต่ไม่จำกัดอยู่เพียง,ว่านสบู่เลือดตัวผู้-ตัวเมีย, ว่านกลิ้งกลางดง, ว่านสาวหลง, ว่านพญาว่าน, ว่านหนุมานนั่งแท่น, ว่านคางคก, ว่านนางกวัก, ว่านนกคุ้ม, ฯลฯ ได้มาแล้วท่านเกจิคณาจารย์หั่นเป็นชิ้นด้วยวัตถุอาคมตากแดดแล้วจารอักขระสำคัญลงคาถาก่อน ก่อนจะนำไปเข้าพิธี ผสมกับดินที่เรียกกันว่าดินกากยายักษ์
ซึ่งดินชนิดนี้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นดินธรรมดาที่เกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์ตามทฤษฎีแต่เพียงเท่านั้น
ดินนี้เป็นดินที่เกิดจากการทับถมของว่านอีกนั่นแหละ ถือเปนของอย่างว่าสมุนไพรตามพบที่ทางใต้ของไทย ซึ่งมีวัฒนธรรมเป็นมายาวนานหลายพันปี
(นักเลงพระเรียกกันว่าของทนสิทธิ์-สิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีดีในตัวโดยไม่ต้องปลุกเสก โดยเฉพาะด้านการอยู่คงอยู่ทน)
กากยายักษ์ มีลักษณะเป็นผงสีดำปนน้ำตาล มีกากที่ผสมรวมกันอยู่เป็นก้อน แวววาม คล้ายแร่ทรายเงินทรายทองเจืออยู่ เกิดมากับสายแร่ก็มี พบในป่าเนินเขาแห่งบ้านลำพระยา จ.ยะลา ยามขุดออกจะได้เป็นก้อนเป็นแท่ง (ผู้รู้หรือทีมงานที่ไปหาทุกครั้งต้องทำพิธีขอพลี ดินก่อนเสมอ เพราะนับถือกันว่าเป็นกากยาของยักษ์และมีดวงจิตของยักษ์ _อสูร ฝ่ายสัมมาทิฐิดูแลรักษาอยู่)
นับถือกันว่าดีทางแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี โชคลาภ ป้องกัน คุณไสย และมีประโยชน์ทางยาจริงๆเนื่องจากในอดีตชาวบ้านที่ค้นพบย่างไฟให้แห้งรับประทานแก้โรคผอมแห้ง ซีดเซียว
เรื่องเล่านิทานประกอบกากยายักษ์ก็คือว่าพญายักษ์ได้ทำการตั้งกระทะเคี่ยวยาสมุนไพร แต่ถูกพิธีทำลายโดยหนุมาน น้ำยาในกระทะก็หกลงพื้นดินไปเสียหมด ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ลงแม่น้ำไป เหลือแต่กากยาที่คว่ำลงคากระทะอยู่ที่ เขากระทะตำบลดังกล่าว
ทั้งนี้มวลสารอื่นที่ผสมลงไปสร้างพระหลวงปู่ทวดนี้นอกจากว่านก็มีเช่นแร่วิเศษต่างๆหรือผงแร่ทองต่างๆอัญมณีก็มีด้วย
เพื่อให้จบประเด็นนี้โดยสมบูรณ์ กล่าวคือว่าหลังจากการสร้างหลวงปู่ทวดเนื้อว่านรอบแรกไปแล้ว เทคโนโลยีการเลี่ยมพระยังไม่ดีพอ ผู้ที่ได้ไปแล้วเกิดพกพาแตกหักเสียหายก็มาร้องเรียนกับท่านผู้สร้าง ว่าเสียดายพระเสียดายของจะขอใหม่ ซึ่งท่านก็นำความไปกราบเรียนกับหลวงปู่ทวดอีกทอดหนึ่งในทางจิตศาสตร์ จึงได้รับอนุญาตให้จัดสร้างหลวงปู่ทวดพระเครื่องเนื้อโลหะขึ้นมา ในรอบนี้ จะได้มีความคงทนไม่แตกหักเสียหาย เรียกกันว่ารุ่นหลังเตารีดเพราะหากพลิกดูด้านหลังของพระเครื่องรุ่นนี้จะมีรูปทรงเหมือนกับเตารีดไม่มีผิด
ผู้ใหญ่ในยุคปี 2500 บอกเคล็ดลับเอาไว้ว่าให้บูชาพระเครื่องรุ่นเตารีดนี้ไว้จะดีเพราะหนทางการเป็นผู้ประกอบการ ทำการค้านั้น นอกจากยาวไกลและไม่เคยราบเรียบ ยังเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามขวางทาง เมื่อพกเตารีดไว้ก็รีดซะให้เรียบด้วยบารมีของหลวงปู่ทวดท่าน ซึ่งสัจจะเดชะดังนี้ก็ไม่ได้เหมาะหรือจำกัดอยู่แต่เพียงฝ่ายพ่อค้าเท่านั้น ฝ่ายผู้ประกอบอาชีพอื่นที่มีความไม่ราบรื่นต่างๆนั้นก็นิยม กราบไหว้บูชาอาราธนาท่านเช่นกัน รูปที่เชิญมานี้เป็นหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดรุ่นหลังเตารีด
ซึ่งมีหลายพิมพ์ เซียนพระตั้งชื่อแตกต่างกันไป เช่นว่า พิมพ์จีวรสองชาย ฯลฯ
กลับมาที่ตุ๊กตายาสัก ส่วนประกอบอันดับที่สองก็คือวัตถุธาตุที่ได้จากสัตว์วิเศษซึ่งอาจจะฝนเอาให้ได้ผง เช่นเขี้ยวเสือไฟเขากวางคุดต่างๆ นำมาผสมลงไว้รวมถึงโลหิตสัตว์นั้นๆด้วย ตำรายาไทย/จีนเองก็พูดถึงฤทธิ์ยาที่ได้จากชิ้นส่วนของสัตว์ไว้มากไม่ว่าจะเป็นกระดองเต่าเขากระต่ายต่างๆนานา ก็จะขออนุญาตละไว้ไม่ได้กล่าวถึง
ส่วนที่สามในตุ๊กตายาสักนี้จะต้องมีแร่ธาตุผสม ซึ่งอาจเป็นแร่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเป็นแร่ที่ผู้วิเศษต่างๆหลาย พันปีก่อนเข้าป่าไปทำทิ้งไว้ดังที่ทางพม่ามีฤาษีที่นิยมเล่นแร่แปรธาตุ เสกปรอทหุงปรอทต่างๆ
ส่วนคำถามที่ว่าแร่ธาตุอยู่อยู่แล้วจะมีคุณวิเศษขึ้นมาได้อย่างไรกัน ก็ต้องเรียนว่ามันเป็นมาแต่ธรรมชาติดั้งเดิมของมันอยู่แล้วที่วัตถุธาตุบางชนิดมันมีฤทธิ์ในตัวของมันเองเช่น ตัวที่เอามาทำนิวเคลียร์ปรมาณูซึ่ง ถ้าใช้ในทางสันติภาพก็นำมาใช้ฉายแสงให้กับคนที่เป็นมะเร็งอยู่ทุกวันนี้ ก็มีฤทธิ์แผ่กัมมันตภาพในตัวมันเองออกมาดื้อๆซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นธรรมชาติประการหนึ่งที่สร้างสรรค์เอาไว้ในโลก ไม่ว่าจะเป็นอิริเดียม ยูเรเนียมโคบอลต์ 60
บรรทัดนี้ก็จะต้องแวะพักอีกเพื่ออนุสรณ์คำนึงถึงท่านมาดามแมรี่ คูรี ชาวโปแลนด์ผู้เจ้าของรางวัลโนเบลสองครั้ง ผู้พากเพียรหาคำตอบเกี่ยวกับแร่วิเศษกัมมันตภาพรังสีโดยนำตัวเองเข้าไปต่อสู้ฝ่าฟันในการศึกษาวิจัยค้นคว้าเพื่อประโยชน์แก่มวล มนุษยโลก
จนกระทั่งต้องได้รับพิษจากอิทธิฤทธิ์ของแร่กัมมันต์ตะให้ท่านต้องประสบโทษภัยกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวและจากไปก่อนวัยอันควร ขอท่านมาดามได้รับการสรรเสริญจากบุคคลผู้มาทีหลังและได้ใช้ประโยชน์จากงานค้นพบอันท่านสู้อุตส่าห์เสียสละชีวิตหาคำตอบเอาไว้ให้ฯ
ส่วนในกรณีของตุ๊กตายาสักนั้นมีการสร้างไว้ในรูปแบบต่างๆเช่นรูปเจดีย์ รูปยักษ์ รูปเทพเทวา นิยมลงชาดสีแดงแล้วปิดทอง เชื่อกันว่ามีอิทธิฤทธิ์ในตัวเองคุ้มครองบ้านเรือนให้อยู่เป็นสุขบางท่านฝนเอาตัวยาจากตุ๊กตามาผสมกับหมึกแล้วเขียนยันต์หรือวาดรูปพระพุทธติดหัวเสาสี่มุมบ้านปกปักรักษาผู้อยู่เรือน
หากหงายดูท้องข้างใต้ของตุ๊กตาอาจพบว่าบางตัวที่มีฐานกลวงก็คือถูกล้วงเอาตัวยาไปใช้ บ้างแล้ว ข้อสังเกตคือตุ๊กตายาสักที่หน้าตาเป็นยักษ์บ่งบอกว่าทำไว้เพื่อป้องกันการถูกขโมยฤทธิ์ยาจากผู้ไม่หวังดีซึ่งก็พอดีกันที่มีฤทธิ์มากพอกัน ทั้งคู่ ต้นตำรับการทำว่านยาในทางพม่านั้นจะมีพิธีกรรมที่ละเอียดวุ่นวายมากจะมีฤกษ์ยามที่ผู้มีฤทธิ์อย่างนักสิทธิ์วิทยาธรลงมาปรุง ให้ด้วยซึ่งผู้ที่นับถือจะเรียกกันว่า มหาว่านยา
ส่วนกรณีการฝนเอามวลสารหรือผงยาวิเศษจากวัตถุมงคลมาใช้นี้ อันดับหนึ่งด้านรักษา ต้องยกให้การขูดฝน
พระสมเด็จวัดระฆังของเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) ยามเมื่อบ้านเมืองยังไม่เจริญนั้นผู้คนเจ็บป่วยหมดหนทางรักษามักตั้งจิตอธิฐานขอยาจากประดาครูอาจารย์ที่ตนเองนับถือซึ่งในกรณีนี้ก็เช่นสมเด็จพระพุฒาจารย์ซึ่งท่านได้ทำการสร้างพระสมเด็จขนาดชิ้นฟักไว้แจกให้กับผู้คนที่เลื่อมใสศรัทธามีปริมาณว่ากันว่ามากถึง 84,000 องค์ ยามตกที่นั่งลำบากเข้าประดาสาธุชนเหล่านั้นก็อาราธนาเอาพระฝนกับน้ำฝนกลางหาว ดื่มกินเป็นยาก็ว่ากันว่าหายเจ็บหายป่วย
ส่วนที่มีอิทธิพลด้านเมตตาเป็นเสน่ห์การขูดผงหรือฝนพระต้องยกให้ผงพระปิดตาของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ที่เมืองชลบุรี เนื่องจากราคาเล่นหาพระผงปิดตาหลวงพ่อแก้วมีมูลค่าสูงหลายสิบล้านบาท และเป็นที่แสวงหาของนักสะสมนักนิยมพระเครื่องตลอดมาไม่เคยกระแสตก
หลวงพ่อแก้วธุดงค์มาจากวัดปากทะเลเมืองเพชรบุรีมาถึงชลบุรี พำนักอยู่ที่วัดเครือวัลย์ชาวบ้านก็ช่วยกันหาไม้ในป่าและช่วยกันสร้างศาลาการเปรียญขึ้นจนสำเร็จ ท่านจึงได้สร้างพระปิดตาเนื้อผงคลุกรักแจกให้ เป็นการตอบแทน
โดยใช้มวลสารจากว่านมงคล 108 ชนิด รวมถึงของหายากที่มีคุณวิเศษ อาทิ ไม้ไก่กุก กาฝากรัก กาฝากมะยม กาฝากมะขาม ฯลฯ ผสมกับผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงพุทธคุณ นำมาบดเป็นผงแล้วกรอง จากนั้นใช้น้ำรักเป็นตัวประสาน และนำเม็ดรักซึ่งได้จากต้นรักที่เป็นมงคลนามตำผสมลงไป แล้วกดพิมพ์ออกมาเป็นองค์พระ เนื้อองค์พระจึงละเอียดสวยงามมาก นอกจากนี้
มักปรากฏเม็ดสีน้ำตาล สีแดง ซึ่งเกิดจากว่านขึ้นประปราย และหากองค์พระสึกจะเห็นเนื้อในละเอียดเป็นสีน้ำตาลอม
ดำคล้าย กะลามะพร้าว
ลักษณะพิมพ์ทรง เป็นรูปสามเหลี่ยมมุมโค้งคล้ายเล็บมือ องค์พระประธานประทับนั่ง ขัดสมาธิราบ พระวรกาย
อวบอ้วน ยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระเนตร ในลักษณะป้องทั้งพระพักตร์
พระปิดตาเนื้อผงคลุกรักที่ด้านหลังจะมีทั้งหลังแบบและหลังเรียบ แต่ทุกพิมพ์จะหายากมาก
มีลูกศิษย์วัดบางคนไปหลงรักสาว แต่สาวเจ้าไม่เล่นด้วย จึงนำฝนพระปิดตา ที่ท่านให้ไปแอบใส่น้ำให้สาวกิน ก็ปรากฏว่าเขารักตอบ แล้วก็ได้แต่งงานอยู่กินด้วยกัน ความทราบถึงหลวงพ่อแก้ว ท่านจึงประกาศ ห้าม เพิ่มข้อแม้ว่าถ้าใครนำพระไปขูดเอาผงใส่น้ำให้ผู้หญิงกินไปแล้ว แต่ไม่ยอมรับเลี้ยงดู จะเป็นบ้า เรื่องผงวิเศษในวัตถุมงคลนี้ โดยเฉพาะของหลวงพ่อแก้วท่านจึงมีเรื่องเมตตามหานิยมมากมาย และผู้สืบวิชาของท่านได้รับอนุญาตให้นำผงมวลสารที่ท่านทำมาเจือลงไปในการสร้างพระปิดตายุคถัดถัดไป แม้ว่าท่านมรณภาพแล้วรูปทรงการออกแบบพระปิดตาของท่านก็ยังยังคงความคลาสสิกสวยงามสม่ำเสมอ แม้สำนัก วัดป่าของหลวงปู่เฮี้ยงก็ตาม ของสำนักวัดอินทรารามในอำเภอเมืองก็ตาม บางทีก็ใช้แม่แบบเก่าในการทำพิมพ์สร้างพระด้วย ทำให้เป็นที่นิยมของผู้เล่นหาในยุคต่อๆมา ที่แนบมานี้ เปนรูปของพระปิดตาวัดใหญ่อินทาราม ปิดทองคำเปลวเนื้อพระสีดำดูเข้มขลัง นำมาประกอบเรื่อง
(เครดิตภาพสวย ตามระบุในรูป)