สภาพเงินฝืดปี 2023-2024 และวิศวกรรมทางนโยบายเพื่อการเกิดใหม่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5% ต่อปี

09 พ.ย. 2566 | 00:30 น.

สภาพเงินฝืดปี 2023-2024 และวิศวกรรมทางนโยบายเพื่อการเกิดใหม่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5% ต่อปี (Deflation 2023-2024 and engineering for Growth Rebirth at 5%) คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์ นอกขนบ โดย สุวิทย์ สรรพวิทยศิริ “มูลนิธิ สวค.”

ทันทีที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ต.ค.2566 ออกมาที่ -0.31% เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2566 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่เกินคาดนักสำหรับนักติดตามเศรษฐกิจรายเดือนและพยากรณ์เศรษฐกิจด้วยแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค และยังคาดว่าในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. นี้เงินเฟ้อจะติดลบอีกที่ -0.35% และ -0.42% ตามลำดับ เมื่อระดับราคาสินค้าติดลบเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงต้องหาสาเหตุว่า เกิดจากประการใด ซึ่งพบว่ารัฐบาลมีนโยบายปรับลดค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นสาเหตุสำคัญ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามเมื่อเลขติดลบย่อมบ่งชี้ถึงความไม่ปกติที่จะเกิดขึ้น และต้องเตรียมการเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นนั่นคือ “สภาพเงินฝืด” จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปี 2023 และหรือจะลากยาวไปปีหน้าหรือไม่

สภาพเงินฝืด (Deflation) คือการลดลงของราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไป ซึ่งมักเชื่อมโยงกับการลดลงของการบริโภคและระดับการผลิตทางเศรษฐกิจ ในปี 2023 นี้ เราเห็นการประสานงานที่ไม่เหมือนใครของแรงกดดันทางการเงินฝืดในเศรษฐกิจไทย ที่เริ่มต้นจากการประกาศตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2/2023 ที่ผ่านมาที่ 1.8 %yoy และเครื่องชี้ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้อาจจะอยู่ที่เพียงร้อยละ 2 ต่อปีเท่านั้น หมายความว่า ทั้งปี 2023 เศรษฐกิจอาจจะโตเพียงร้อยละ 2 หรือต่ำกว่า ซึ่งห่างไกลจากศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศที่ควรจะเติบโต 4-5% เพื่อจะได้กระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้ไปถึงคนข้างล่างได้ลืมตาอ้าปากได้ ทั้งนี้สาเหตุของความกังวลทั้งปวงเกิดขึ้นจากภายในและภายนอกประเทศที่ยังไม่มีความแน่นอนและแปรปรวนตลอดเวลา เพื่อเป็นการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ไม่อาจจะอยู่เฉยต่อความเสี่ยงและความเดือดร้อนของประชาชน ที่มีความไว้วางใจของประชาชนเป็นตัวกระตุ้นในดำเนินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจที่มุ่งหวังการฟื้นฟูและการเติบโตและสกัดภาวะเงินเฟ้อในช่วงปลายปีนี้และปีหน้า ที่จะต้องติดตามดังนี้

1. การลดลงของการใช้จ่ายของผู้บริโภค: เมื่อผู้บริโภคคาดหวังว่าราคาจะตกลงไปอีก พวกเขาอาจเลื่อนการซื้อ ส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง

2. การลดลงของการลงทุนภายในเศรษฐกิจ: เมื่อราคาและความต้องการลดลง ธุรกิจอาจลดการลงทุนเนื่องจากผลตอบแทนที่คาดหวังน้อยลงและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลง

3. การลดลงของปริมาณเงินฝากและสินเชื่อในประเทศ: สภาพเงินฝืดอาจทวีความรุนแรงเมื่อปริมาณเงินในหมุนเวียนลดลง ซึ่งอาจเกิดจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นหรือปัจจัยอื่นที่ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบน้อยลง เงินฝากที่หดตัว -1.32% หรือ 200,000 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี และสินเชื่อเติบโตเพียง 1.0% เท่านั้น

ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ยังมีข้อเห็นต่างกันอยู่บ้าง คือ การบริโภคยังคงดีอยู่ แต่ในมุมมองของคนติดตามเศรษฐกิจรายเดือน เรากังวลต่อประเด็นนี้มาก เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ หนี้ครัวเรือนในระดับสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น อาจจะทำให้การบริโภคในอนาคตไม่ดีนัก ส่วนข้ออื่นๆ เกือบทั้งหมดบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจอาจจะก้าวสู่สภาพเงินฝืดในอนาคต

สภาพเงินฝืดอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางเศรษฐกิจ นำไปสู่วงจรเงินฝืดที่คาดการณ์ว่าราคาจะตกทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนของผู้บริโภคลดลง ซึ่งจะนำไปสู่การลดลงของราคาต่อไป การจัดการกับสภาพเงินฝืดอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเครื่องมือนโยบายการเงินแบบดั้งเดิมอาจมีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.5% อาจจะไม่กระตุ้นมากนักเมื่อปรับลดลงในอนาคต ราคาข้าวเปลือกจ้าวภาคกลางและราคาข้าวเปลือกหอมมะลิภาคเหนือและอีสานที่กำลังออกมาในช่วงสิ้นปีนี้ราคา 9,500-12,000 บาทต่อตัน ไม่ได้เพิ่มกำลังซื้อและยังคงวนเวียนอยู่ที่ราคานี้มาตั้งแต่ปี 2001 ในขณะหนี้ชาวนาและค่าครองชีพในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก นั่นเป็นเหตุให้กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังต้องต่อท่อปล่อยสินเชื่อชะลอการขายข้าว รวมทั้งนโยบายการพักหนี้เกษตรกร ทางด้านการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวแม้ว่าค่าเงินบาทที่อ่อนและนโยบายวีซ่าฟรีที่ประกาศให้มีผลแล้วนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการให้มีเงินมาเติมในระบบเศรษฐกิจผ่านอุปสงค์จากภายนอก แต่ความขัดแย้งและสถานการณ์สงครามยังไม่สิ้นสุด ทำให้บรรยากาศของการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกันการส่งออกสินค้าก็เผชิญกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าชะลอตัว ทั้งหมดนี้กำลังบอกว่า การบริโภคในอนาคตอาจจะลดลง ตามกำลังซื้อที่ลดลง

การท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสภาพเงินฝืดต้องการวิธีการที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นการเติบโตและการใช้จ่าย สำหรับประเทศไทย นี่หมายถึงการผสมผสานระหว่างการตัดสินใจด้านนโยบายและการใช้ประโยชน์จากความสามารถด้านวิศวกรรมนโยบายเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเรียกคืนการเติบโตที่เป้าหมายที่ 5%

วิศวกรรมนโยบายเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย การเติมคูปองดิจิทัล 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet เพื่อต่อสู้กับสภาพเงินฝืดโดยตรง รัฐบาลไทยสามารถดำเนินนโยบายการคลังที่กระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน สิ่งนี้อาจรวมถึงการให้แรงจูงใจทางภาษี การช่วยเหลือราคาสินค้าที่จำเป็น และการลดอัตราดอกเบี้ย ด้วยนโยบายบริหารจัดการเศรษฐกิจด้านอุปทานในระดับพื้นที่ OFOS: One Family One Soft Power และ THACCA: Thailand Creative Content Agency เพื่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ทางเศรษฐกิจในระดับตำบล พร้อมทั้งช่องทางการจัดการจำหน่ายสินค้าของ Small Enterprises เหล่านี้ให้เข้าถึงตลาดทั้งในและภูมิภาคอื่นเพิ่มขึ้น

นโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน และ ปรับเงินเดือนข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งวิสาหกิจทั่วไป ขึ้นในอัตราที่ทำให้รายได้ของคนงานและ ชาวนา มีโอกาสสูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ตลอดช่วง 10 ปี ก่อนหน้านี้เร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นวิธีที่ทราบกันดีในการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้โดยการเร่งโครงการงานสาธารณะ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท การพัฒนาเครือข่ายการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคไม่เพียงแต่สร้างงานแต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนด้วยโครงการแลนด์บริจด์ เป็นต้น

เกษตรกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เศรษฐกิจของไทยมีรากฐานมาจากการเกษตร โดยการเติมเทคโนโลยีและการปฏิบัติทางวิศวกรรมที่ทันสมัยลงในภาคส่วนนี้ ประเทศสามารถเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพ ลดการสูญเสีย และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรที่ส่งออกได้

โครงการพลังงานหมุนเวียนและปรับโครงสร้างต้นทุนของประเทศ การเปลี่ยนแปลงไปสู่แหล่งพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกนำเสนอโอกาสให้ไทยหลากหลายพอร์ตพลังงานของตน การลงทุนในโครงการวิศวกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวลสามารถช่วยลดความพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงและสร้างผลที่ตามมาของประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากมาย

โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว การปรับปรุงและทันสมัยของโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีวิศวกรรมสุดยอดสามารถช่วยฟื้นฟูภาคส่วนนี้ของเศรษฐกิจไทย การปรับปรุงและสร้างสรรค์สถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวแม้ในสภาพเงินฝืด

สรุปได้ว่า สภาพเงินฝืดในปี 2023-2024 อาจจะเป็นปรากฎการณ์ความท้าทายที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย ที่เป็นสังคมที่สูงวัย แก่ก่อนรวย อย่างไรก็ตาม โดยการใช้ประโยชน์จากความสามารถของประเทศในด้านวิศวกรรมการดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมการเติบโตและนวัตกรรม ไทยไม่เพียงแต่สามารถเอาชนะแนวโน้มสภาพเงินฝืด แต่ยังตั้งเวทีสำหรับการเกิดใหม่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราเป้าหมายที่ 5% การกระจายโอกาส กระจายรายได้ และกระจายความมั่งคั่ง ให้แก่คนทุกชั้น ในทุกตำบลของประเทศ โดยไม่มีข้อยกเว้น การทำเช่นนี้ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ตั้งแต่รัฐบาลไปจนถึงองค์กรเอกชน และมีวิสัยทัศน์แห่งชาติที่เป็นเอกภาพสำหรับการเติบโต การพัฒนาทั่วถึง เป็นธรรม ยั่งยืน อย่างมีเสถียรภาพ ด้วยการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ให้เกื้อกูลแต่ไม่มากเกินไป ในการเข้าสู่เป้าหมายการเติบโต 5% ต่อปี