ได้เคยเล่าเรื่อง ชีวิตท่านพ่อลี (พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์) วัดอโศการาม โดยย่อไปแล้ว วันนี้ขอเล่าต่อบางเรื่อง ที่ท่านพ่อลี ได้ปฏิบัติ และช่วยประชาชน
ครั้งหนึ่ง ขณะพำนักที่วัดวัดบางหัววัว อำเภอยโสธร (ในขณะนั้น) จังหวัดอุบลราชธานี โดย มีพระอาจารย์อยู่ด้วย 2 รูป คือ พระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์มหาปิ่น
ต่อมาสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เจ้าคณะมณฑล ได้เรียกตัวพระอาจารย์มหาปิ่น กลับบจังหวัดอุบล จึงได้อยู่จำพรรษาตำบลนั้น กับเพื่อนพระ 4-5 องค์ ได้พากเพียรทำสมาธิอย่างเข้มแข็ง
บางครั้งเบื่อหน่ายอยากลาสึก แต่มีจิตอีกกระแสยับยั้งไว้
วันหนึ่งตอนกลางวันเดินจงกรม แต่ใจคิดไปในทางโลก
ในตอนนั้นสตรีคนหนึ่ง เดินผ่านมาข้างๆ วัด ร้องเป็นเพลงดังๆ ขึ้นว่า "กูได้เห็นแล้วหัวใจนกขี้ถี่ (นกทึดทือ) ที่ปากมันหักร้องทึดทือ แต่ใจมันเลี้ยวใส่ปู (นกนี้ชอบกินปู)"
ก็เลยจำเพลงนี้ขึ้นมาบริกรรมเป็นนิจว่า เขาว่าใส่เราที่กำลังสร้างความดีอยู่ แต่ใจมันแส่ไปในอารมณ์ของโลก
คิดได้ดังนั้นก็ละอายใจ ว่าเราจะต้องทำใจของเรา ให้อยู่กับภาวะของเรา จึงจะไม่สมกับที่ผู้หญิงคนนั้นร้องเพลงเหมือนเตือนสติ
เมื่อรู้ตัวดีแล้ว ก็ปฏิบัติโดยไม่ประมาท จิตเป็นสมาธิ ทำให้เกิดความรู้ที่ไม่คาดคิดเช่นรู้ความหมายบทสวดมนต์ที่เป็นภาษาบาลี และบทสวดอภิธรรม เพื่อให้เกิดความแน่ใจ จึงปรึกษากับพระอาจารย์กงมา ท่านบอกว่า
พระพุทธเจ้าของเรา ก็ไม่ได้เรียนรู้มาก่อน ถึงเรื่องการเขียนหรือเทศน์ พระองค์ท่านได้ปฏิบัติรู้ในใจก่อน แล้วจึงได้บัญญัติไว้ ในปริยัติธรรม ฉะนั้นการรู้ของเราเป็นการไม่ผิด
เมื่อได้ทราบเรื่องนี้ก็มีจิตอิ่มปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่ออกพรรษา คิดว่าจะไปโปรดโยมผู้ชายที่ยังติดในหลายเรื่อง เดินทางมาพักที่ศาลเจ้าดอนปู่ในป่าเพียงองค์เดียว ชาวบ้านทราบจึงส่งข่าวให้โยมผู้ชายทราบ
โยมทราบก็จัดหาอาหารมาถวาย แต่พระไม่ยอมฉัน เพราะคิดว่า อาหารที่โยมนำมาเป็นอุทิสมังสะ คือฆ่าสัตว์เจาะจงบุคคล โยมจึงกินเอง
จากนั้นเดินทางกับโยมมาพักในป่าช้าข้างบ้านที่เล่าลือว่าผีดุ
ณ ที่นั้น มีญาติโยมมาฟังเทศน์กันมาก จึงได้ปราบเรื่องการถือผิดของชาวบ้าน เช่นปราบผีกระสือ ผีปอบ ผีไท้ ผีแถน มนต์กลที่เป็นเดียรัจฉานวิชา
ได้ชำระล้างสิ่งหนักใจให้หมดไปเช่นผีปู่ตาในเนินบ้านเก่า โดยให้สวดมนต์แผ่เมตตา
เวลากลางวันได้เผาเครื่องเซ่นสรวงผีมด ผีเต้น ผีรำ ผีหมอ มากมาย
ได้อบรมญาติโยม ให้รับนับถือ "พระไตรสรณคมน์ ให้สวดมนต์ ภาวนาทางพระ ไม่ให้ยุ่งเรื่องพวกผีปีศาจ"
นึกถึงภาพเก่าๆ ที่ผ่านมา รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ จึงได้ช่วยคิดแก้ไข เช่น เรื่องที่ญาติโยมเชื่อใจกันว่า ผีปู่ตา ต้องกินหมูเห็ดเป็ดไก่ทุกปี ดังนั้นพอถึงฤดูกาลไหว้ผีปู่ตา ชาวบ้านฆ่าไก่เป็ดหรือหมูบ้านละ 1 ตัว คำนวณแล้วสัตว์มีชีวิตต้องถูกฆ่า เพื่อการเซ่นสรวงปีหนึ่งนับเป็นร้อยๆ ตัว
บางคราว เกิดการเจ็บป่วย ก็ต้องเซ่นสรวง ตามที่บนบานไว้ พิจารณาเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ ในการที่ทำนั้นๆ
ถ้าผีมีจริง ต้องเป็นผู้ไม่กินของเซ่น ให้รับส่วนแบ่งกุศลดีกว่า มิฉะนั้นจะต้องบังคับให้หนีโดยเด็ดขาด
นั่นคือต้องใช้อำนาจอาญาทางธรรมเข้าช่วย จึงได้สั่งเผาศาลผีปู่ตาจนหมดสิ้น
ชาวบ้านบางคนขวัญเสีย กลัวจะเกิดความไม่ปลอดภัย ท่านจึงได้เขียนคำสวดมนต์ แผ่เมตตาให้ทุกคน แล้วก็สั่งรับรองว่าไม่เป็นไร
ในกาลต่อมาได้ทราบว่าสถานที่นี้ กลายเป็นเรือกสวนไร่นาไปหมด ป่าดงที่เคยผีดุ กลายเป็นหมู่บ้านขึ้นมาหมู่หนึ่ง
เมื่อออกพรรษา เดินทางมายโสธร และน้ำพอง
วันหนึ่งรู้สึกไม่สบายปวดแสบแก้วหู จึงเดินทางเข้ากรุงเทพ พักวัดปทุมวนารามเพื่อรักษาตัว และปฏิบัติพระอุปัชฌาย์ไปด้วย
ได้เวลาสมควรจึงลาพระอาจารย์เพื่อธุดงค์ในฤดูแล้ง ไปถึงอำเภอตาคลี นครสวรรค์พักในป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณ 20 เส้น
วันหนึ่ง ได้ยินเสียงช้างป่ากับช้างตกมันร้องเสียงดัง เพราะต่อสู้กัน ช้างป่าสู้ไม่ได้ถึงกับตาย ส่วนช้างตกมันมีชัยชนะก็ยิ่งดุร้าย อาละวาดหนักขึ้น วิ่งขับไล่ใช้งาทิ่มแทงผู้คน ซึ่งอยู่ในบริเวณป่าที่เราพักอยู่
ส่วนเจ้าของช้างตกมัน คือขุนจบฯ กับชาวบ้านซึ่งอยู่บริเวณนั้นได้นิมนต์ให้เราไปพักในบ้าน แต่ตนไม่ยอมไป รู้สึกว่าจะใช้อำนาจแห่งความเมตตามาดำเนินการ
ต่อมาวันหนึ่งเวลาบ่ายประมาณ 16:00 น ช้างได้วิ่งมายืนอยู่ข้างที่พักของเรา
ท่านพ่อลีเล่าว่า ขณะที่ช้างตกมันวิ่งเข้ามา ยืนอยู่ข้างๆ ห่างสัก 20 วา มองเห็นงาขาวยืนหูชัน ท่าทางน่ากลัว จึงตกใจ วิ่งออกจากที่พัก ปีนต้นไม้ เพื่อจะหนีช้าง ก็ได้ยินเสียงคล้ายคนมากระซิบว่า "เราไม่จริงกลัวตาย คนกลัวตายจะต้องตาย"
เมื่อได้ยินก็ รู้สึกตัว ลงมาจากต้นไม้เดินเข้าที่พัก นั่งเข้าที่ ไม่หลับตา หันหน้าไปทางที่ช้างยืนอยู่ ภาวนาแผ่เมตตาจิต
ขณะนั้นได้ยินเสียงคนโห่ร้อง แต่ก็ไม่มีใครมาช่วย จึงแผ่เมตตาจิตอยู่ประมาณ 10 นาที มองเห็นช้างตัวนั้นยืนตีหู โบกขึ้นลง ดังพุบพับๆ สักครู่หนึ่ง แล้วมันก็หันหลังกลับเดินเข้าป่าไป ท่านจึงเดินออกจากที่พัก
ชาวบ้านประหลาดใจ ว่าเรารอดมาได้อย่างไร
วันรุ่งขึ้น ประชาชนชาวบ้าน ได้ยินข่าวก็พากันมาหาเราอย่างล้นหลาม เพื่อขอของดี
เมื่อเป็นดังนี้ ความไม่สงบ ก็เกิดขึ้น
จากนั้นได้เดินทาง กลับมาพักที่วัด ปทุมวนารามตามเดิม
แต่ครั้งนี้ นอกจากต้องเรียนนักธรรมชั้นตรีแล้ว ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ ให้ทำงานมีภาระรับผิดชอบมาก
ในขณะเดียวกัน ก็ได้ยินพระเณรเล็กๆ ที่เป็นหนุ่มชวนคุยเรื่องทางโลก เรื่องผู้หญิงบ้างอะไรบ้าง ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้สึกว่าเกลียด
พอพรรษาที่ 2 ได้ยินเขาสนทนากันเรื่องความเจริญมั่งมี และเรื่องทางโลกก็เลยชอบฟัง
เข้าพรรษาที่ 3 เรียนบาลีไวยากรณ์ แต่นักธรรมตรีสอบได้เมื่อปี 2472
ภาระหนักขึ้นทุกที ตอนนี้ขยับจะคุยกับเขาได้ในเรื่องทางโลกเสียแล้ว จึงได้ตรวจดูจิตของตนรู้สึกว่าเสื่อมไปในทางปฏิบัติ คิดจะหันไปในทางโลกเสียมากขึ้น ได้คิดต่อสู้อยู่จนตลอด
อยู่มาวันหนึ่งเกิดความคิดในใจว่า ถ้าเราอยู่ในกรุงเทพฯ เราต้องสึก ถ้าเราไม่สึกเราต้องออกจากกรุงเทพฯ ไปอยู่ป่า จึงได้ทำการบริกรรมอารมณ์ทั้งสองอารมณ์นั้นทั้งกลางวันและกลางคืน
เห็นคนอื่นเตรียมตัวสึกโดยจัดหาเครื่องนุ่งห่มพร้อมแล้วก็จะสึก
ส่วนตนนั้น คิดว่าควรต้องเตรียมตัวสึกเหมือนกัน คือสึกทางใจ ทดลองดูก่อน
ภาพที่ท่านวางคล้ายพล็อตบทละคร
เมื่อท่านยังอยู่วัยหนุ่ม สึกจากพระแล้วเป็นเสมียนร้านขายยาแห่งหนึ่ง ได้เงินเดือน 20 บาท ต่อมามีความขยันขันแข็ง ได้รับเงินเดือนขึ้นทุกปี ผ่านไป 3 ปี ได้แต่งงาน กับสาวที่ทำงานในที่เดียวกันเป็นลูกพระยา แต่คุณพ่อ ที่เป็นพระยาไม่ยอมให้แต่งงานด้วย
จึงพากันหนี ไปครองเรือนด้วยกัน มีบุตร 1 คน ต่อมาภรรยาตาย จึงหาแม่นม ที่เป็นคนชั้นต่ำ มาดูแลลูก แม่นมเป็นคนดี แต่ขาดการศึกษา เมื่อแต่งงานมีลูกด้วยกัน 1 คน เมื่อโตขึ้นลูก 2 คนมักจะทะเลาะกัน เกิดความไม่สงบสุขในบ้าน
กลับจากทำงาน แม้จะเหนื่อย ต้องมานั่งฟัง เรื่องราวของลูกเลี้ยงและลูกของแม่นมที่ทะเลาะกัน เรื่องการแข่งขันการใช้เงินทอง ส่วนแม่นมที่ตอนนี้กลายเป็นเมียก็ฟ้อง ไม่รู้จะเข้าข้างใคร เงินทองไม่พอใช้ จึงหย่ากัน
แล้วคิดว่าอย่ากระนั้นเลยกลับไปบวชใหม่ดีกว่า
"เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ ก็เลยตัดสินใจเด็ดขาดว่า ไม่สึกอย่างแน่นอน"
จากนั้นเราจึงเห็นท่านพ่อลี เป็นพระราชาคณะที่ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีร์เมธาจารย์ (ลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม สมุทรปราการ
(อ้างอิงจากเรื่อง ท่านพ่อลี ธมฺธโร โดยทองทิว สุวรรณทัต-นิโรธ เกษรศิริ นิตยสารโลกทิพย์ ฉบับที่ 12 ปีที่2 เมษายน 2526)