KEY
POINTS
เพราะข่าวคราวในพุทธศาสนา มีแต่ภาพลบ เช่น พระสงฆ์ที่ขาดปาริสุทธิศีล เป็นข่าวทางสื่อมวลชน และโซเชียลมีเดียก็ดี คนที่ด้อยค่าพระพุทธศาสนาก็ดี บรรดาผู้รู้น้อยทำตนเหมือนรู้มากก็ดี สุดท้ายพวกปรัปวาทบิดเบือนคำสอนพุทธศาสนาก็ดี คนที่ว่านี้มีลักษณะเหมือนจุดดำในผ้าขาว หรือเหมือนความมืดแผ่ปกคลุมสังฆมณฑล
ต่อปัญหาที่ว่านี้ นิสิตควรมีหน้าที่นำปัญญาที่รับคู่กับปริญญามาช่วยขับไล่ความมืดและลบจุดดำให้ศาสนา ด้วยการทำความจริงให้ปรากฏ
ถ้าทำได้น่าจะได้รับการสรรเสริญมิใช่น้อย
ส่วนวิธีไล่ความมืด หรือสร้างจุดขาวในผืนผ้าสีดำ ไม่มีอะไรดีเท่าการเผยแผ่พระธรรมคำสอนผ่านแพลตฟอร์ม ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งไม่น่ามีปัญหาสำหรับพระนักศึกษาในยุคดิจิทัล
หากทำได้ หรือได้ทำสีดำหรือความมืดในศาสนาจะลดน้อยลง ทำให้ข่าวดี หรือจุดขาวมาแทนที่ข่าวร้าย ที่มีเป็นประจำจนเบื่อ
ที่ผมเสนอความเห็นดังกล่าว เนื่องจากอ่านข่าวและบทความการประสาทปริญญาแก่นิสิต นักศึกษา ประจำปี 2567 ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตลอด 2 วัน คือ 7-8 ธันวาคม 2567 ว่าหลายฝ่ายชื่นชมบรรยากาศ และการหลั่งไหลของญาติโยม และผู้ปกครองของนิสิต นักศึกษาจำนวนมากเขียนมาในมหาวิทยาลัย มจร. ย่านวังน้อย พระนครศรีอยุธยา เพื่อชื่นชมยินดีในความสำเร็จของลูกหลาน
ในข่าวและบทความนั้นๆ สรุปว่าเป็นการจัดการที่ดี แสดงถึงความสามัคคี และมืออาชีพของอาจารย์ผู้นำ ซึ่งไม่มีใครโต้แย้ง
สำหรับผู้เขียนเห็นว่าการจัดงานแบบนี้ คือได้จัดกิจกรรมประจำปีเป็นการประดับตกแต่งภายนอก ถ้ามีเงินมีปัจจัย มีไอเดีย มีความพร้อม จะทำอะไรก็ได้
แต่ที่ผมปรารถนาใคร่เห็นคือบทบาทนิสิต นักศึกษา ไม่ว่าดีกรีระดับไหน ที่มีความสามารถนำปริญญา (ความรู้รอบ) หรือปัญญาญาณที่สะสมภายใน มาเผยแพร่ เพื่อช่วยศาสนาให้เข้มแข็ง
แต่น่าเสียดายไม่มีใครถามหาหรือพูดถึง ทั้งๆ ที่สิ่งที่ว่านี้คือหัวใจ ของการศึกษา
ดังพุทธภาษิตประจำ มหาวิทยาลัยว่า ปัญญา โลกัสมิ ปัชโชโต ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก
ผมเชื่อว่าเรื่องที่ผมปรารถนาน่าจะสะกิดให้มหาวิทยาลัยสงฆ์คิดใหม่ ทำใหม่ เพิ่มอีกมิติหนึ่ง เพื่อสร้างนิสิตที่เป็น พุทธสาวก ให้เป็นจุดขาวในผ้าดำ ดีกว่าเป็นจุดดำในผ้าขาว ครับ