โรคร้ายหลังแผ่นดินไหว

05 เม.ย. 2568 | 00:45 น.
อัปเดตล่าสุด :05 เม.ย. 2568 | 01:21 น.

โรคร้ายหลังแผ่นดินไหว คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • หลังจากแผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์ การค้นหาผู้รอดชีวิตยังล่าช้าเนื่องจากขาดเครื่องมือที่เพียงพอ และความลำบากในการขนส่งสิ่งของช่วยเหลือ ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ขึ้น และตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มสูงขึ้นกว่า 3,000 คนที่รายงาน
  • ความเสี่ยงจากโรคระบาด เช่น โรคบาดทะยัก อหิวาตกโรค และโรคไข้หวัดใหญ่ กำลังจะเกิดขึ้นตามมาเนื่องจากสภาพสุขาภิบาลที่ไม่ดีในพื้นที่ประสบภัย โดยเฉพาะในศูนย์พักพิงที่มีความแออัด

หลังจากแผ่นดินไหวในเมืองมัณฑะเลย์ไปร่วมหนึ่งสัปดาห์ จำนวนผู้เสียชีวิตเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ขณะที่ผมเขียนบทความนี้อยู่ ก็มีจำนวนเกินกว่า 3,000 คนไปแล้ว จนทำให้ผมไม่อยากที่จะมองดูที่จำนวนคนเสียชีวิตแล้วครับ เพราะตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ ผมก็คิดไปว่า ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่มีความเสียหายเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศเมียนมาเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ ความเป็นอยู่ของประชาชนต่อไปจะเป็นอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สูงอายุที่อยู่ในเมืองมัณฑะเลย์ ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยๆ คนที่ผมรู้จักสนิทสนมคุ้นเคย เท่าที่คิดถึงก็เกินกว่ายี่สิบท่านไปแล้วครับ

ครั้งนี้คนแก่ที่อายุพอๆกับผม เชื่อว่าคงต้องจำเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่เมืองเหวินชวน มณฑลเสฉวน(四川省 文川市 ) ได้ ถ้ายังจำไม่ได้ ผมอยากจะเพื่อฉายภาพเก่าๆให้พวกเราได้อ่านดูนะครับ เหตุการณ์ครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2008 มีแผ่นดินไหวขนาด 7.9 ตามมาตราริกเตอร์ (USGS) และถือว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในยุคจีนสมัยใหม่ ซึ่งได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ความเสียหายที่สำคัญ คือได้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมหาศาล โดยผู้เสียชีวิตมีมากกว่า 69,000 คน สูญหายประมาณ 18,000 คน ผู้บาดเจ็บมากกว่า 374,000 คน และมีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยราว 4.8 ล้านคน พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองเหวินชวน มณฑลเสฉวน (四川省 文川市 ) ซึ่งได้รับความเสียหายหนักสุด นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบไปอีกหลายเมืองในมณฑลเสฉวน รวมถึง เฉิงตู เต๋อหยาง เมี่ยนหยาง และส่งผลกระทบไปถึงมณฑลใกล้เคียง เช่น กานซู่ และส่านซี อาคารบ้านเรือนกว่า 5 ล้านหลังพังเสียหาย โรงเรียนและโรงพยาบาลถล่มหลายแห่ง ทำให้มีนักเรียนและบุคลากรเสียชีวิตจำนวนมาก ถนน สะพาน และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญได้ถูกทำลายลง

ในครั้งนั้นได้สร้างความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจและการเงินอย่างมาก โดยทางการจีนได้ประเมินค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ สามารถประเมินความเสียหายกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อุตสาหกรรมและเกษตรกรรมในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก รัฐบาลจีนได้ส่งกองทัพและเจ้าหน้าที่กู้ภัย กว่า 130,000 นาย รวมทั้งมีความช่วยเหลือจากนานาชาติ รวมถึงการบริจาคเงินและสิ่งของอีกมากมาย ซึ่งแผ่นดินไหวในครั้งนั้น นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเลยทีเดียว

สิ่งที่ผมอยากจะฉายภาพดังกล่าวให้เพื่อนๆดู เพราะแผ่นดินไหวในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาในครั้งนี้ มีแรงสั่นสะเทือนใกล้เคียงกับที่เหวินชวนมาก ในขณะที่มีข่าวที่ออกมา จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายและบาดเจ็บ ยังน้อยกว่าที่เหวินชวนมาก นั่นอาจจะเป็นเพราะความหนาแน่นของประชากรในมัณฑะเลย์ มีน้อยกว่าที่เหวินชวน อีกทั้งการสำรวจสำมะโนประชากรของเมียนมา ยังมีความแม่นยำน้อยกว่าที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อีกทั้งการสาธารณสุขพื้นฐานก็ยังไม่ดีเท่าเทียม ดังนั้นตัวเลขดังกล่าวจึงยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะตามมา ผมยังมีความเชื่อว่า น่าจะมีความน่ากลัวมากกว่านี้เยอะครับ เพราะวันนี้สถานการณ์ในเมืองมัณฑะเลย์ น่าจะมีประชาชนเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่อาศัย เพื่อหลบภัยสงครามภายในประเทศ(ความไม่สงบที่มีการสู้รบ) และไม่ได้แจ้งให้ทางการทราบยังมีอยู่มาก ดังนั้นตัวเลขที่ได้รับแจ้งเข้ามา จึงอาจจะไม่ใช่ตัวเลขที่แท้จริง นอกจากนี้ การขุดค้นหาผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในซากปรักหักพัง ยังคงมีปัญหาอยู่ เพราะเท่าที่ผมทราบจากปากของคนที่อยู่ในพื้นที่ เขาแจ้งมาว่า เครื่องมือที่ใช้ในการขุดขนาดใหญ่ ยังมีไม่มาก ดังนั้นการขุดค้นจึงเป็นไปด้วยความล่าช้า จึงทำให้โอกาสที่จะขุดเจอผู้รอดชีวิต นับวันจึงมีโอกาสน้อยลงไปทุกวินาที ทำให้เชื่อได้ว่า จำนวนผู้เสียชีวิตน่าจะมีมากกว่านี้อย่างแน่นอนครับ

จากข่าวที่ผมได้รับมาจากเพื่อนฝูงที่ยังคงอยู่ที่เกิดเหตุ เขาบอกว่า ณ วันนี้กลิ่นเหม็นของซากศพ ยังคงตลบอบอวลอยู่มาก อาหารที่ขายในท้องตลาดก็เริ่มขาดแคลนลง ร้านค้าได้ปิดตัวลงไปเยอะมาก ทำให้เมืองจึงกลายเป็นเมืองที่มีแต่ความเศร้าโศกและเงียบสงบ น้ำที่สะอาดเพียงพอต่อการดื่มก็เริ่มน้อยลง แต่ก็มีผู้ใจบุญขนส่งขึ้นไปจากเขตใกล้เคียงและเมืองย่างกุ้ง ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะถนนหนทางบางช่วงบางตอนก็เสียหายจนไม่สามารถใช้ได้

สิ่งที่น่ากลัวมากกว่านั้น คือหลังจากนี้ไปอีกไม่นาน โรคระบาดที่เกิดจากสุขาภิบาลหรือสุขอนามัยที่ไม่ดี ก็จะตามมาอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โรคที่จะตามมาก่อนเป็นอันดับต้นๆ ก็คือโรคบาดทะยัก(Tetanus Toxoid : TTหรือTd) ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บที่ได้รับจากซากปรักหักพัง หรือถูกของมีคมบาดโดยที่ไม่ได้ระวังนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีอีกโรคหนึ่ง นั่นก็คือ โรคอหิวาตกโรค(Cholera) ที่เกิดจากการบริโภคอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด หรือมีสิ่งปนเปื้อนที่เกิดจากซากศพต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีฝนตกลงมา(ซึ่งฤดูฝนเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว) จะทำให้น้ำที่ชะล้างเอาสิ่งปฏิกูลแล้วไหลลงในบ่อน้ำ ซึ่งประชาชนต้องนำน้ำเหล่านั้นมาบริโภคนั่นเองครับ

อีกโรคหนึ่งที่เกิดจากอาหารที่ปนเปื้อนเช่นเดียวกัน คือโรคตับอักเสบ-เอ (Hepatitis A) ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมาก สำหรับคนที่มีภูมิคุ้มกันน้อย นอกจากนี้ยังมีโรคที่เกิดจากการอยู่อาศัยร่วมกันในศูนย์พักพิงชั่วคราวของผู้ประสบภัย แน่นอนว่าเมื่อสุขอนามัยในที่พักพิงไม่ดีพอ สิ่งที่ตามมาคือโรคระบาดเช่น โรคไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานี้ และโรคหัดต่างๆ โรคหัด-คางทูม และโรคหัดเยอรมัน (MMR) ที่มักจะแพร่ระบาดในศูนย์พักพิงชั่วคราว ซึ่งเราก็เคยเห็นมาตามศูนย์อพยพต่างๆ นอกจากที่กล่าวมา ยังมีโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)ในที่พักพิงที่มีผู้คนอยู่รวมกันหนาแน่น ซึ่งน่าเป็นห่วงเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเรื้อรังด้วยเช่นกันครับ ยิ่งไปกว่านั้น โรคไทฟอยด์ (Typhoid) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อไทฟอยด์จากน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ ผมเชื่อว่าทุกคน ไม่เพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้นที่มีความเสี่ยงสูง บุคคลทั่วไปหรือลูกเด็กเล็กแดง ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกันครับ

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในยามนี้ ผมคิดว่า “วัคซีนป้องกันโรค” น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ