*** นักลงทุนหลายคนอาจจะลืมหุ้นเคยแรงอย่าง JAS ของ “เสี่ยพิชญ์” ไปแล้ว หลังจากเดินหน้าขายทุกอย่าง จนทำให้บริษัทที่เคยได้รับการขนานนามว่า เจ๋งที่สุดแห่งหนึ่งต้องมากลายเป็นบริษัทที่แทบจะไม่เหลือค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเดินหน้าขายหุ้นของ บมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ หรือ 3BB (TTTBB) รวมไปถึงหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสินทรัพย์ที่เหลืออยู่ล็อตสุดท้าย ก็ยิ่งทำให้ราคาหุ้นของ JAS ดำดิ่งลงไปจนแทบจะ “ไม่เต็มบาท” หรือลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ราคาเพียงแค่ 1.16 บาท
แต่ในข่าวร้ายก็พอจะมีข่าวดี เพราะมีข่าวว่า หากสามารถจบดีลในการขาย ทั้ง 3BB และ JASIF เงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ทั้งสองกว่า 3.2 หมื่นล้าน ก็จะถูกนำมาแบ่งเป็น “ปันผลพิเศษ” ให้ผู้ถือหุ้นทุกราย ซึ่งข่าวนี้ก็มีแรงพอที่จะดันให้ราคาหุ้นของ JAS พลิกกลับขึ้นมาเท่าตัว (100%) ในเวลาเพียง 4 เดือน และแม้ว่า “เสี่ยพิชญ์” จะได้เงินปันผลที่ว่ามากกว่าใคร ก็ไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จบดีลระหว่าง AIS ในฐานผู้ซื้อ JAS ในฐานะผู้ขาย จนได้ราคาสุดท้ายของ 3BB และ JASIF อยู่ที่ 28,371 ล้านบาท ลดลงจาก 32,420 ล้านบาท ต่ำกว่าที่เคยคุยกันในตอนแรกกว่า 4 พันล้าน ทำให้ราคาหุ้นของ JAS ที่กำลังปรับราคาขึ้นต้องมีอัน “สะดุดขาตัวเอง” ลงอีกรอบ ซึ่งหากจะว่ากันตามตรงเจ๊เมาธ์มองว่า ราคาหุ้นของ JAS ก็คงจะอยู่ในระดับราคานี้ไปอีกนาน ไปจนกว่าจะได้มีการจ่ายปันผลพิเศษ และหลังจากนั้นก็คงจะต้องถึงคราว ซาโยนาระ...วงแตก...ทางใครทางมัน ก็เป็นได้
ราคาหุ้นตระกูลเจ ไม่ว่าจะเป็น JMART JMT SINGER SGC รวมไปถึง J มีข่าว “ดราม่า” ออกมาไม่ขาดสาย ล่าสุดเป็นกรณีที่ JMT ถูกลากเข้าไปเป็นประเด็นของการโต้กันไปมา ระหว่างนักลงทุน และผู้บริหารของ ตลท. และ ก.ล.ต. ในเรื่องของ Naked Short Sell ว่ามีจริงหรือไม่ ...หรือมีอิทธิพลแค่ไหน ถึงขนาด
มีภาพของการวางหุ้นรอขาย (OFFER) ของหุ้นตระกูลเจอย่าง JMT ในช่องละ 5 ล้านหุ้นอยู่จำนวนถึง 4 ช่อง รวมเป็นหุ้นมากกว่า 20 ล้านหุ้น (จำนวนมากกว่ากองทุนเปิด บัวหลวงทศพล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 6 ซึ่งมีหุ้นอยู่ในมือเพียง 19,422,700 หุ้น)
จนเป็นเหตุให้ JMART ในฐานะของบริษัทแม่ ซึ่งยังคงถือหุ้น JMT ในสัดส่วน 53.85% ออกอาการ “ก้นร้อน” จนต้องร่อนจดหมายออกมาชี้แจงว่าจำนวนหุ้นที่ถูกนำเอามาวางเพื่อรอขายดังกล่าวนั้น ไม่เกี่ยวกับทางบริษัทฯ โดยทาง JMART ระบุว่า “ไม่ใช่คำสั่งขายหุ้นจากบริษัท และบริษัทไม่ได้มีธุรกรรมให้ยืมหุ้นกับนักลงทุนรายใด”
ท้ายที่สุดถึงแม้ว่าทั้ง ตลท. และ ก.ล.ต. จะยืนยันว่า “ปัจจุบันพบว่าไม่พบความผิดปกติ” และมองว่าในวันที่หุ้นราคาลดลงมาก ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำธุรกรรม Short Sell เท่านั้น แต่เป็นภาวะของตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการตรวจสอบธุรกรรม Short Sell อย่างต่อเนื่อง
แต่ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ และได้เกิดขึ้นแล้วกับหุ้นตระกูลเจ นั่นก็คือ การที่ราคาหุ้นตระกูลนี้ทั้ง JMART JMT SINGER SGC รวมไปถึง J ต่างก็มีราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาแรงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับวอลุ่มการซื้อขายที่หายไปไม่ต่างกันทุกตัวในกลุ่ม
ส่วนที่ว่าใคร หรือ บริษัทไหนจะบอกว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือได้ทำดีที่สุดแล้ว...ก็ว่ากันไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ หรือ รายย่อย ต่างก็เฝ้ารอมาตรการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมมากกว่าการแถลงข่าวไปเรื่อย โดยไม่เห็นสาระ หรือ การร่อนจดหมายชี้แจงที่ไร้ประโยชน์ บอกเลยว่าตอนนี้จะไปไม่ไหวกันแล้วเจ้าค่ะ
*** ในที่สุด บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ก็กลายเป็นหุ้นที่เคย “ผิดนัดชำระหุ้นกู้” ตัวล่าสุดที่ถูกตลาดฯ ห้ามซื้อขายด้วยการขึ้นเครื่องหมาย SP หลังจากที่ไม่สามารกส่งงบการเงินไตรมาส 3/66 (สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2566) ได้ตามกำหนด และก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่า ALL จะสามารถส่งงบได้เมื่อไหร่
ก็อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยพูดมาตลอดว่า หุ้นที่มักจะมีพฤติกรรมแบบนี้ส่วนใหญ่ “จบไม่สวย” ไม่ว่าจะเป็น บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STRAK ซึ่งเคยผิดนัดชำระหุ้นกู้ ก่อนที่จะส่งงบการเงินไม่ได้ ก่อนที่จะถูกตลาดฯ ขึ้นเครื่องหมาย SP ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะถูกห้ามซื้อขายไปอีกนานแค่ไหน จนถึงตอนนี้ก็มี ALL ที่กลายเป็นหุ้นตัวล่าสุดที่เดินซ้ำรอย STARK
เจ๊เมาธ์ก็ได้แต่หวังว่าในท้ายที่สุด บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ของ “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” จะไม่ต้องมาเดินตามหุ้นที่เคยผิดนัดชำระหุ้นกู้รุ่นพี่ทั้ง 2 ส่วนความหวังจะเป็นจริงหรือไม่...อีกไม่นานก็คงจะได้รู้กันเจ้าค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,941 วันที่ 19 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566