เศรษฐีหุ้นไทย ใครรวย..ใครจนลงบ้าง

12 ธ.ค. 2566 | 22:10 น.
อัพเดตล่าสุด :12 ธ.ค. 2566 | 23:55 น.

เศรษฐีหุ้นไทย ใครรวย..ใครจนลงบ้าง คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** ผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยปี 2566 ของวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2566 ปรากฏว่ามีเพียง “สมโภชน์ อาหุนัย” เจ้าของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ซึ่งแต่เดิมเคยอยู่ในอันดับที่ 5 ของปี 2565 ด้วยการถือครองหุ้นมูลค่ารวม 36,366.27 ล้านบาท เป็นเพียงคนเดียวที่ได้หลุดหายไป 
     
ส่วนเศรษฐีหุ้นไทย 5 อันดับแรก พบว่า “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF ยังคงครองแชมป์เป็นอันดับ 1 ในสัดส่วน 35.67% คิดเป็นมูลค่า 190,421.51 ล้านบาท  

ขณะเดียวกัน “สารัชถ์” ก็ยังได้ครองความเป็นเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ...เพียงแต่ในปีนี้มูลค่าหุ้นที่ “สารัชถ์” ถืออยู่มีมูลค่าลดลงไปถึง 28,153.53 ล้านบาท หรือ 12.86% เลยทีเดียว 

เศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 2 คือ “นิติ โอสถานุเคราะห์” รายนี้ขยับขึ้นมาจากอันดับที่ 4 ด้วยการถือครองหุ้นมูลค่ารวม 61,790.61 ล้านบาท จากเดิมที่มี 58,124.00 ล้านบาท ในปี 65 เพิ่มขึ้น 3,666.61 ล้านบาท หรือ 6.31% และ “นิติ” ยังถือว่าเป็นเศรษฐีหุ้นไทยใน 5 อันดับแรกเพียงคนเดียวซึ่งมูลค่าหุ้นที่ถืออยู่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกด้วย 
     
ขณะที่เศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ยังคงเป็น “หมอเสริฐ” หรือ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ และ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โดยถือครองหุ้น บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) และ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) มูลค่ารวม 57,001.68 ล้านบาท ลดลง 5,734 ล้านบาท หรือ 9.14% ซึ่งหากนำสินทรัพย์ของ “หมอเสริฐ” ไปรวมกับ หมอปุย “พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ” ลูกสาว ซึ่งเป็นเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 5 ในปีนี้มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวมทั้งสิ้น 26,634.59 ล้านบาท ลดลงไป 8,367.28 ล้านบาท หรือ 23.91% แต่ก็ยังเห็นได้ว่า “ตระกูลปราสาททองโอสถ” ยังคงถือครองหุ้นมูลค่ารวมเกือบหนึ่งแสนล้านบาท ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา 
     
ทางด้านของ “ปณิชา ดาว” จากเดิมที่เคยเป็นเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 2 ปีนี้ร่วงลงมาอยู่ที่ 4 จากมูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ลดลงไปถึง 40,035.38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49.04% หลังจากที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 1 ของ บมจ.พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น (PSG) หรือชื่อเดิมคือ บมจ.ที เอ็น จิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น หรือ T ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงงานสาธารณูปโภค และงานติดตั้งเครื่องจักรต่างๆ ในสัดส่วน 80% จำนวน 51,994 ล้านหุ้น ในปี 2564  

อย่างไรก็ตาม...น่าสังเกตว่าหากนับรวมเอามูลค่าหุ้นของเศรษฐีหุ้นไทยมารวมกันทั้งหมด ก็จะพบว่า มูลค่าหุ้นของเศรษฐีหุ้นไทยทั้ง 5 ราย มีมูลค่าที่ปรับลดลงไปเกือบๆ 8 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียวเจ้าค่ะ 
     
*** หลังจากที่ 5 ธนาคารใหญ่ได้จับมือกันปล่อยเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ซึ่งเริ่มจะออกอาการที่อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการ “เบี้ยวหนี้” หลังจากที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยในรุ่น ITD24DA และ ITD24DB ให้กับผู้ถือหุ้นซึ่งครบกำหนดจ่ายในวันที่ 4 ธ.ค.2566 ก่อนในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2567 ก็ถึงรอบที่ ITD จะต้องจ่ายหนี้หุ้นกู้ล็อตใหญ่อีกราว 2 พันล้านบาท นอกจากนี้ในอนาคตยังมีหุ้นกู้ชุดอื่นๆ ที่จะถึงรอบจ่ายตามมาอีก 4 รุ่น มูลค่ารวมหลักหมื่นล้านบาท  
     
อย่าลืมว่า ITD เป็นบริษัทรับเหมาเก่าแก่ที่สามารถเรียกได้ว่ามีขนาดที่ใหญ่มาก และด้วยความใหญ่ที่ว่านี้ หากเกิดกรณีที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ก็จะสร้างความเสียหายในวงกว้างชนิดที่ควบคุมไม่ได้กันเลยทีเดียว 
     
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ ITD เกิดอาการสะดุดจนป่วยเรื้อรัง ก็น่าจะมาจากสาเหตุที่ ITD มักจะลงทุนกับโครงการของรัฐ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการเบิกจ่ายที่ล่าช้า ในขณะที่การลงทุนในโครงการทวาย เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ที่เมียนมา มูลค่ารวมกว่า 8 พันล้านบาท ไปจนถึงโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่ลงทุนไปเกือบ 4 พันล้านบาท ซึ่งจนถึงตอนนี้ทาง ITD ก็ยังไม่มีรายรับจากเงินต้นที่ได้ลงทุนไปกลับมาเลย  
     
เอาเป็นว่า เราคงจะต้องจับตามองดู ITD ว่าจะเดินไปในทิศทางใด หลังจากที่ทั้ง STARK ALL รวมไปถึง JKN ซึ่งต่างก็ได้เดินบนเส้นทางนี้มาแล้ว 
     
ในวันที่ 14 ธ.ค. 66 เพียงวันเดียว จะมีหุ้นน้องใหม่เข้าตลาดถึง 2 ตัว ประกอบไปด้วย บริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ANI ผู้นำธุรกิจขายระวางสินค้าสายการบิน (Cargo General Sales Agent: Cargo GSA) (“GSA”) ซึ่งเข้าตลาดด้วยหุ้น IPO จำนวน 554 ล้านหุ้น ที่ราคาจองซื้อหุ้นละ 5.25 บาท 

ขณะที่ทาง MGI หรือ บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการจัดประกวดนางงาม “มิสแกรนด์ ไทยแลนด์” และ “มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล” การบริหารจัดการศิลปิน และการจัดจำหน่ายสินค้าต่างๆ ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท ซึ่งได้ขายหุ้นไอพีโอจำนวน 60 ล้านหุ้นที่ราคา 4.95 บาท/หุ้น 

โดยความแตกต่างของทั้ง 2 บริษัท นอกเหนือไปจากธุรกิจที่แตกต่างรวมไปถึงขนาดของธุรกิจที่แตกต่างกัน ก็คือทาง ANI จะเข้า SET และในฝั่งของ MGI จะเข้าตลาดเอ็มเอไอ แต่สิ่งที่น่าจับตาที่สุดของหุ้นน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาดพร้อมกันทั้ง 2 ก็คือ การเข้ามาในจังหวะที่นักลงทุนต่างก็กลัว และ กังวล ที่จะยุ่งกับหุ้นไอพีโอ หลังจากที่ราคาร่วงลงไปต่ำกว่าราคาจองซื้อนับตั้งแต่นาทีแรกแทบทุกตัว 
     
เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์เอาใจช่วยหุ้นทั้ง 2 ให้ผ่านวิกฤตหุ้นไอพีโอที่กำลังเป็นอยู่นี้ เพราะได้แค่หวังว่าเมื่อไหร่จะมีพระเอกขี่ม้าขาว มาช่วยตลาดหุ้นไอพีโอที่กำลังแย่อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,948 วันที่ 14 - 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566