*** ตลาดหุ้นไทยปี 2567 ในมุมมองเจ๊เมาธ์และอีกหลายสำนักดูเหมือนจะใกล้เคียงกันอยู่มาก ประมาณว่า “เมื่อลงได้ก็ต้องขึ้นได้เช่นกัน” อย่างแรก ก็เป็นเพราะในปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยอยู่ต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีข้อมูลชี้ชัดว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ไม่มีความก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งโลก ในปี 2566 เลยทีเดียว
ส่วนอย่างที่สอง เป็นเรื่องข้อมูลทางสถิติเนื่องจากดัชนีหุ้นไทย “ทิ้งดิ่ง” ลงลึกมากที่สุดในรอบ 15 ปี (นับตั้งแต่ซับไพร์มปี 2008) โดยสถิติชี้ไว้ชัดเจนว่า ในช่วง 25 ปี ที่ผ่านมา พบว่าดัชนีไม่เคยลบติดต่อกัน 2 ปีเลย
ขณะที่เรื่องของ January Effect (นักลงทุนจะขายทำกำไรช่วงสิ้นปีก่อนวันหยุดยาวและกลับเข้ามาลงทุนใหม่ในช่วงเดือนมกราคม) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้หุ้นไทยวิ่งได้ดีในช่วงต้นปีนี้ เช่นกันท้ายที่สุดเป็นเรื่องของ Fund Flow ที่เริ่มไหลเข้ามาอย่างชัดเจนในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2566
*** บล.เอเชียพลัส มองว่า ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยเกือบ 200 ล้านเหรียญ หรือราวกว่า 6 พันล้านบาท ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่แข็งแรงขึ้นจากมาตรการการกระตุ้นเข้ามาต่อเนื่อง โดยมีค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเป็นตัวช่วยแนะกลยุทธ์การลงทุน แนะนำลงทุนหุ้นพื้นฐานดีใน 3 ธีม ที่มีโอกาส Outperform ตลาดในช่วงต้นปี 2567
1. หุ้นปันผลสูง TISCO, INTUCH, SIRI, MAJOR
2. หุ้นได้ประโยชน์ EASY E-RECEIPT COM7, PLANB, CPN, CRC, SCGP
3. หุ้น Free Float สูง KBANK, TISCO, SIRI, CPN, WHA, BH หวังได้เม็ดเงินเพิ่มเติมจากกองทุนที่อ้างอิงดัชนีใหม่ SET50FF และ SET100FF
*** บล.พาย มองว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมภายในประเทศมีโอกาสเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนกว่าเศรษฐกิจโลก โดยแนะนำ “ซื้อ” CPALL คาดว่ากำไรไตรมาส 4/66 จะโตต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกสำคัญคือ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้จากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ ผ่านนโยบายเงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท และคาดปี 2567 กำไรจะเติบโตต่อเนื่องอีก 18%
พร้อมทั้งแนะนำ AOT โดยคาดว่าแนวโน้มในปี 2567จะเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากการเดินทางระหว่างประเทศเริ่มฟื้นตัว รวมไปถึง แนะนำ “ซื้อ” TIDLOR พร้อมกับคุณภาพสินเชื่อที่ยืดหยุ่นดีในครึ่งหลังปี 2566 ซึ่งจะเอื้อให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญในปี 2567-2568 บวกกับค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลง โดยมองว่ากำไรจะโตต่อเนื่องในไตรมาส 4/66 ขณะที่คาดว่ากำไรสำหรับทั้งปี 2566 จะโตได้ถึง 6.6%
*** บล.หยวนต้า ประเมินภาพรวม ปี 2567 โดยมองเป็นรายกลุ่ม เน้นไปที่หุ้นปลอดภัย (Defensive) เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้าและกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่กลุ่มหุ้นที่อิงการบริโภคภายในประเทศ (Domestic play) เช่น กลุ่มค้าปลีก จะมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
โดยกลุ่มค้าปลีก แนะนำ CPALL เพราะสอดรับกับมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และเป็นหุ้นที่เข้าถึงและเข้าใจง่ายที่สุด ส่วนกลุ่มโรงไฟฟ้า “หยวนต้า” เลือก GPSC เป็นหุ้นเด่น โดยประเมินว่า ผลประกอบการปี 2566 จะโดดเด่นที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า
ท้ายที่สุดแนะนำ THCOM หลังเริ่มเห็นภาพการเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีใหม่ได้ชัดเจน ทั้งดาวเทียมวงโคจรต่ำและการปล่อยดาวเทียมใหม่ ซึ่งจะไปสอดรับกับ Digital Economy ที่ภาครัฐจะใช้ดาวเทียมมากขึ้น โดยจุดเปลี่ยนจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
*** บล.ยูโอบี เคย์เฮียน แนะกลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 โดยเน้นลงทุนในหุ้นรายตัวที่ให้ผลตอบแทนที่ดี มีหนี้ต่ำ และได้ผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาททั้งทางตรงและทางอ้อม โดย แนะนำ “ซื้อ” หุ้น MAJOR เนื่องจากผลประกอบการฟื้นตัวต่อเนื่องจากทั้งการเปิดเมืองและหน้าภาพยนตร์ที่กลับมาดีเป็นปกติ นอกจากนี้ยังอาจมีปันผลสูงถึงระดับ 7% อีกด้วย
ขณะเดียวกันก็แนะนำ “ซื้อ” หุ้น PTT จากการที่มีกระแสเงินสดที่มั่นคง ผลการดำเนินงานไม่ได้ผันผวนตามราคาน้ำมันดิบมากนัก โดยมีเงินปันผลราว 5.5% ซึ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังมีหุ้น TU ที่จะได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และมีเงินปันผลมากกว่า 4% และผลประกอบการยังอยู่ในทิศทางที่ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องซึ่งน่าสนใจมากเช่นกัน
ส่วนใครจะชอบหุ้นตัวใด...หรือชอบคำแนะนำจากสำนักไหนก็จับได้ตามใจเลยนะคะ เพราะถ้ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล “เจ๊เมาธ์” ไม่พลาดที่จะเก็บเอามาเล่า และวิเคราะห์ผ่านมุมมองของเจ๊เมาธ์ให้แฟนๆ ที่รักของเจ๊ได้รับรู้อยู่แล้วเจ้าค่ะ