ตั้งแต่เป็น VI “ผู้มุ่งมั่น” มาหลายสิบปี เวลาผมคิดทำอะไรโดยเฉพาะที่เป็นเรื่องสำคัญหรือเป็น “ยุทธศาสตร์ของชีวิต” ที่ต้อง “ต่อสู้” เพื่อที่จะ “ชนะ” เช่นเรื่องของการลงทุนนั้น ผมจะคิดคล้าย ๆ กับว่าเรากำลัง “เข้าสู่สงคราม” ซึ่งจะต้องวางกลยุทธ์ที่ดีและถูกต้อง เพราะนั่นจะทำให้เรามีโอกาส “ชนะ” สูงขึ้น ถ้าคิดและประเมินว่าการเข้าไปรบในสมรภูมิที่กำหนดแล้วมีโอกาสที่จะแพ้สูง โดยปกติผมก็จะหลีกเลี่ยง การประเมินนั้นก็ต้องดูว่าสนามรบนั้นเป็นอย่างไร เรามีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน เราจะต้องทำหรือ “รบ” อย่างไรที่จะทำให้เราได้เปรียบและได้ชัยชนะในที่สุด การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมาโดยใช้หลักการลงทุนแบบ “VI” ที่เน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นซุปเปอร์สต็อกสำหรับผมก็ต้องถือว่าประสบความสำเร็จดีมากอย่างไม่น่าเชื่อจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้หรือประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา ในวันนั้นผมเริ่มรู้สึกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็เริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ เฉพาะอย่างยิ่ง “สนามรบ” เริ่มจะไม่เอื้ออำนวยให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้เหมือนเดิม ผมจึงเริ่มไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
การ “รณรงค์” ในสนามรบ “เวียดนาม” ของผมนั้น ผมเริ่มลงทุนตั้งแต่กลางปี 2557 หรือประมาณ 7 ปีมาแล้ว ด้วยเม็ดเงินเพียงประมาณ 4-5% ของพอร์ต โดยที่วันนั้นดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามอยู่ที่ประมาณ 600 จุด และเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นยัง “ซบเซา” ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์น่าจะแค่วันละ 3,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่ภาวะเศรษฐกิจและการเงินของเวียดนามกำลังมีเสถียรภาพดีขึ้นอย่างมาก เศรษฐกิจโตเร็วระดับ 5-7% อย่างที่เคยโตมาตลอดเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่อัตราเงินเฟ้อและค่าเงินที่เคยสูงและผันผวนมากได้ลดลงมาเป็น “ปกติ” แล้ว อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้าสู่เวียดนามก็ยังไม่ได้สูงนัก
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ก่อนหน้านั้นนักลงทุนต่างประเทศก็มักจะกลัวว่าค่าเงินด่องจะลดลงหนักและการถอนเงินออกก็ไม่ง่ายจึงไม่อยากมาลงทุน กล่าวโดยสรุปก็คือ ระบบเศรษฐกิจและการเงินของเวียดนามนั้นพร้อมแล้วที่จะก้าวไปข้างหน้าและต่อสู้กับประเทศอื่นทั้งโลก
กลยุทธ์การลงทุนของผมนั้น เนื่องจากผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนเลย รวมถึงไม่มีกองทุนรวมอิงดัชนีให้ซื้อลงทุนได้อย่างสะดวก ผมจึงใช้วิธี “ตะแกรงร่อนหุ้น” เลือกหุ้นที่เป็น Value หรือหุ้นที่ถูกมาก โดยมีเงื่อนไขคร่าว ๆ ว่าจะต้องมีค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า ค่า PB ไม่เกิน 1 เท่า ปันผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี และต้องมี Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 3-500 ล้านบาทขึ้นไปถ้าผมจำไม่ผิด เพื่อที่จะให้มั่นใจว่าจะสามารถซื้อหุ้นแต่ละตัวได้ในปริมาณที่ต้องการ ผลปรากฏว่ามีหุ้นที่ผมซื้อถึงกว่า 100 ตัวจากหุ้นทั้งตลาดจำนวนประมาณ 6-700 ตัว นั่นก็เป็นการแสดงว่าหุ้นในตลาดเวียดนามตอนนั้นน่าจะมีราคาถูกมากโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็ก ผมใช้เวลาน่าจะประมาณ 5-6 เดือนกว่าจะซื้อจนครบ
ปี 2558 ทั้งปีนั้นเป็นปีที่ตลาดหุ้นเวียดนาม “นิ่งสนิท” ดัชนีไม่ไปไหนเลย หุ้นที่ผมลงทุนนั้นก็ไม่ได้ขยับไปไหน ปี 2559 ดัชนีตลาดเริ่มปรับตัวขึ้นไปจาก 550 เป็น 680 หรือขึ้นไปประมาณ 23% ผมเริ่มเติมเงินเข้าไปบ้างทำให้พอร์ตโตขึ้นเป็นประมาณ 6% คิดจากเงินลงทุน แต่ขนาดของพอร์ตตามราคาตลาดเป็นเท่าไรผมก็ยังไม่เคยคิด เหตุผลก็เพราะว่าผม “ไม่ได้ติดตาม” ว่าที่จริงถึงจะมีข้อมูล ผมก็ไม่รู้ว่าถ้าจะขายหุ้นจริง ๆ จะขายได้ไหม เพราะหุ้นเกือบทั้งหมดเป็นหุ้นตัวเล็กมากที่แทบไม่มีสภาพคล่อง ขายไปหุ้นก็คงจะตกลงมามาก ผมเริ่มตระหนักว่า กลยุทธ์การซื้อหุ้นแบบ “เหวี่ยงแห” ที่มีคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Joel Greenblatt เคยศึกษาและพบว่าการใช้สูตร “Magic Formula” แบบที่ผมทำให้ผลตอบแทนดีมากนั้น
อาจจะใช้ไม่ได้ในทางปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ไม่สามารถขายหุ้นเพื่อปรับพอร์ตได้ทุกปี
ปี 2560 หุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นไปเป็นเกือบ 1,000 จุด หรือกว่า 40% ในช่วงปีนี้ผมเห็นว่าตลาดหุ้นเวียดนามคงจะเริ่มบูมอานิสงส์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ผมจึงเริ่มเติมเงินลงทุนเข้าไปอีก โดยเงินใหม่นี้ผมเริ่มใช้วิธีเลือกหุ้นลงทุนเองเป็นรายตัวแบบ VI พอถึงสิ้นปี เงินที่ลงไปรวมแล้วประมาณ 9% ของพอร์ตทั้งหมดของผม
ขึ้นปี 2561 ดัชนีเวียดนามปรับตัวขึ้นต่อจนถึงประมาณ 1,200 จุด และเป็นจุดสูงสุดใหม่ในเดือนมีนาคมก่อนที่จะตกลงมาอย่างแรงเหลือเพียงประมาณ 900 จุดในตอนสิ้นปี และหลังจากนั้นในปี 2562 ดัชนีเวียดนามก็ทรง ๆ อยู่ในระดับนี้ โดยสรุป ปี 2561และ 2562 ผมไม่ได้ทำอะไรเลย และพอขึ้นปี 2563 ก็เกิดวิกฤติโควิด-19 ซึ่งทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักในเดือนมีนาคมและดีดตัวกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 2-3 เดือน ก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี ที่ดัชนีขึ้นไปที่ 1,100 จุด เท่ากับว่าโควิด-19 ไม่มีผลอะไรกับดัชนี เพราะมันปรับตัวขึ้นทำให้ผลตอบแทนของปี 2563 บวกอยู่ประมาณ 14% สิ้นปีนี้ผมเริ่มนำผลการลงทุนในเวียดนามมาคิดรวมกับผลตอบแทนในตลาดหุ้นไทยทำให้พอร์ตเวียดนามคิดเป็นประมาณ 15% ของพอร์ตโดยรวม ผมคิดว่าได้เวลาแล้วที่การลงทุนจากต่างประเทศควรจะเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนปกติ โลกการลงทุนกำลังเปลี่ยนไป หมดสมัยแล้วที่การลงทุนจะคิดแต่เฉพาะในประเทศไทย คำนวณดูแล้วปรากฏว่า การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาได้ผลตอบแทนประมาณ 35% หรือได้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 5% ไม่ดีเลย แต่ก็ยังดีกว่าตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีไม่ไปไหนเลยในช่วงเวลาเดียวกัน
ปี 2564 ผมได้เพิ่มเงินลงทุนในพอร์ตเวียดนามอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อคิดรวมกับการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นเดิม ทำให้พอร์ตเวียดนามมีขนาดเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 25% ของพอร์ตทั้งหมด ราคาหุ้นทั้งของเดิมที่เป็นหุ้นขนาดเล็กราคาถูกจำนวนเป็นร้อยตัว และหุ้นขนาดใหญ่แนวซุปเปอร์สต็อกทั้งที่เลือกเองและซื้อกองทุนรวมหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่เริ่มมีแพร่หลายในตลาดหุ้นเวียดนามในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างมโหฬารพอ ๆ กัน ที่ประมาณ 70% นับจากต้นปีจนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ตามดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 46% และเป็นตลาดที่ปรับตัวดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
ถ้ามองย้อนหลังกลับไป 7 ปีตั้งแต่เข้าลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ผลตอบแทนรวมของการลงทุนของผมขึ้นไปกว่า 100% และเมื่อคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นก็อยู่ที่ประมาณ 12% ต่อปีก็ต้องถือว่าเป็นผลตอบแทนที่น่าพอใจโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาเดียวกันที่น่าจะได้เฉพาะปันผลที่ประมาณปีละ 3% และดังนั้นก็ถือว่าได้ชัยชนะในสมรภูมิหุ้นเวียตนามสำหรับผมแม้จะยังเทียบไม่ได้เลยกับช่วงเวลาที่ผมลงทุนในตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะในช่วงประมาณ 20 ปีแรก อย่างไรก็ตาม เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าความรู้ในตลาดหุ้นเวียดนามของผมยังจำกัดมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทย
บทเรียนการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมถึงจุดนี้ก็คือ
1) ตลาดหุ้นไม่ว่าจะดีหรือโดดเด่นแค่ไหนในระยะยาว ก็มีช่วงเวลาที่เลวร้ายและเวลาที่แน่นิ่งไม่ไปไหน ลงทุนไปแล้วอย่าคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีหรือดีมากทันที ว่าที่จริงถ้าเข้าช่วงที่ร้อนแรงก็อาจจะผิดหวังได้มากกว่าเวลาที่เลวร้ายหรือเวลาที่หุ้นไม่ไปไหนมาหลายปี
2) การเลือกหุ้นลงทุนนั้น ถ้าเรายึดกับประวัติศาสตร์หรือการศึกษาจากประสบการณ์ที่ยาวนาน ว่าหุ้นประเภทไหนจะเป็น “ผู้ชนะ” โอกาสก็เป็นไปได้ว่าวิธีนั้นก็เป็นวิธีที่ชนะในระยะยาว ตัวอย่างก็คือการเลือกหุ้นราคาถูกมากแบบ Magic Formula ซึ่งผมใช้ ซึ่งแม้ว่าจะไม่สามารถปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดได้ ก็ยังให้ผลลัพธ์ที่ดี
โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเวียดนามนั้น คล้ายคลึงกับของไทยมากเพียงแต่เวียดนามมีขั้นของการพัฒนาตามหลังไทยอยู่ประมาณน่าจะซัก 20 ปีหรืออาจจะน้อยกว่านั้นถ้าไทย “หยุด” อย่างรวดเร็วมาก ดังนั้น ตลาดหุ้นของเวียดนามก็น่าจะมีพฤติกรรมและการเติบโตของดัชนีคล้าย ๆ กับตลาดหุ้นไทยในอดีต ดังนั้น เวลาจะลงทุนหุ้นแต่ละตัวหรือในแต่ละอุตสาหกรรมจึงควรคำนึงถึงความจริงข้อนี้ ตัวอย่างเช่น หุ้นที่ร้อนแรงและมี Market Cap. สูงมากในปัจจุบันของเวียดนามคือหุ้นอสังหา หุ้นโบรกเกอร์ หุ้นแบงก์ หุ้นเหล็ก เป็นต้น แต่หุ้นเหล่านี้ในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันก็หมดยุคไปแล้ว ดังนั้นถ้าจะลงทุนระยะยาวก็ต้องระวังด้วย