สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้นทำให้ผมหวนระลึกถึงเหตุการณ์ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองที่เริ่มขึ้นในยุโรปในปี 1939 หรือประมาณ 83 ปีมาแล้ว เพราะมันมีอะไรคล้ายกันอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ว่าคู่กรณี ทั้งเรื่องของประเทศและตัวผู้นำที่ก่อสงครามนั้นมีการสลับสับเปลี่ยนไป ผมจะเล่าเรื่องของสงครามโลกครั้งที่สองก่อน
เริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งจบลงในปี 1919 และมีการเซ็นสัญญาแวร์ซายซึ่งบีบบังคับเยอรมันในฐานะผู้แพ้สงครามมาก ซึ่งทำให้คนเยอรมัน “เจ็บแค้นมาก” เฉพาะอย่างยิ่งฮิตเลอร์ซึ่งเคยเป็นทหารผ่านศึกและต่อมานำพรรคนาซี “ชนะเลือกตั้ง” และได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1933 และเมื่อได้อำนาจมาแล้ว เขาก็เริ่มใช้อำนาจ “เผด็จการ” ยุบพรรคการเมืองอื่นทั้งหมดและประกาศถอนตัวจากสันนิบาตชาติซึ่งคล้าย ๆ กับสหประชาชาติในวันนี้
ความคิดของฮิตเลอร์ก็คือ เขาจะนำเยอรมันกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมและเป็น “อาณาจักรไร้ช์ที่ 3” ที่จะยิ่งใหญ่ “ชั่วฟ้าดินสลาย” และการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งแรกนั้นเป็นเพราะมีคนที่ทรยศ “แทงข้างหลัง” โดยเฉพาะคนยิวซึ่งจะต้องถูกกำจัด
ถึงปี 1934 ประธานาธิบดีฮินเดนเบิร์กเสียชีวิต ฮิตเลอร์ก็ยุบตำแหน่งประธานาธิบดีรวมกับนายกและแต่งตั้งตัวเองเป็นฟูเรอร์หรือ “ผู้นำสูงสุด” พอถึงปี 1935 ก็ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทิ้งและเริ่มเกณฑ์ทหารและขยายกองทัพขนานใหญ่ ทั้งหมดนี้ประเทศผู้ชนะสงครามเช่นอังกฤษและฝรั่งเศสต่างก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดสงครามกับเยอรมันอีก พวกเขาต่างก็ไม่พร้อมและไม่อยากจะต้องเจอกับสงครามอีกครั้ง
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ประเทศมีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่จะต้องฟังเสียงประชาชนที่ต่างก็ไม่เห็นด้วยที่จะทำสงครามโดยที่ไม่มีเหตุผลเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเทศของตนเอง นอกจากนั้น ก็มักจะไม่มีงบประมาณทางทหารมากพอ ไม่ต้องพูดถึงกำลังทหารที่มีจำกัดเนื่องจากไม่สามารถที่จะเกณฑ์ทหารได้ในยามที่ประเทศไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม
ถึงปี 1938 เมื่อทุกอย่างดูเหมือนว่าจะพร้อมแล้ว ฮิตเลอร์ ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นคนสัญชาติออสเตรียมาก่อนก็ส่งทหารบุกยึดประเทศออสเตรียและประกาศรวมออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน โดยที่คนออสเตรียเองนั้น เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดและส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายเยอรมันและพูดภาษาเยอรมันก็ยินดี และนั่นนำมาสู่การเข้ายึดครอง “Sudetenland” ซึ่งเป็นพื้นที่ตอนเหนือของประเทศเช็คโกสโลวาเกียในขณะนั้นที่อยู่ติดกับชายแดนเยอรมัน
เช็กโกสโลวาเกียเป็นประเทศที่เกิดขึ้นในปี 1918 จากการล่มสลายของอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งก็มีคนเยอรมันจำนวนมากถึงประมาณ 23% และโดยเฉพาะในเขตซูเดเตนนั้น คนส่วนใหญ่ก็เป็นเยอรมันซึ่งนั่นทำให้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งในเขตนี้มีความโน้มเอียงที่จะเข้ากับฮิตเลอร์ มีการเรียกร้องที่จะเป็นอิสระในการปกครองตนเองซึ่งรัฐบาลของเช็กโกเองก็พยายามจะเจรจากับเยอรมันเพื่อแก้ปัญหาแต่ก็ไม่สำเร็จ
ในอีกด้านหนึ่ง อังกฤษและฝรั่งเศสได้เข้ามาเจรจากับเยอรมันที่เมืองมิวนิคเมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดสงคราม อังกฤษและฝรั่งเศสต้อง “เอาใจ” เยอรมัน โดยนายกรัฐมนตรีแชมเบอร์เลนของอังกฤษให้ความเห็นว่าคนเยอรมันในซูเดเตนนั้น “น่าเห็นใจและยากลำบากจริง” และแนะนำให้เช็กโกยอมตามความต้องการของเยอรมัน แชมเบอร์เลนเองเชื่อว่าฮิตเลอร์คงต้องการแค่นั้น แต่จริง ๆ ฮิตเลอร์ต้องการมากกว่า
ถึงต้นปี 1939 เยอรมันก็บุกเข้ายึดเช็กโกทั้งประเทศ หลังจากนั้นก็เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับอิตาลีและรัสเซีย ถึงตอนนี้ฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสก็เริ่มรู้แล้วว่าที่คิดไว้ว่าเยอรมันจะไม่บุกต่อนั้นผิดหมด จึงเซ็นสัญญากับโปแลนด์ค้ำประกันความเป็นอิสระและจะช่วยเหลือหากถูกรุกรานจากประเทศอื่น และก็เริ่มเตรียมตัวรับสงครามที่ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันที่ 1 กันยายน 1939 เยอรมันก็บุกโปแลนด์ อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมัน นับเป็นวันที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ
สหภาพโซเวียตรัสเซียเกิดขึ้นหลังจากพรรคบอลเชอวิคหรือพรรคคอมมิวนิสต์โค่นพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และขึ้นสู่อำนาจในปี 1922 โดยมียูเครนเป็นหนึ่งในรัฐผู้ก่อตั้ง หลังสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945 สหภาพโซเวียตเป็นฝ่ายชนะสงครามและก็เริ่มสร้าง “ความยิ่งใหญ่” และกลายเป็น ซุปเปอร์เพาเวอร์ควบคู่กับสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นคู่แข่งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองคือเป็นสังคมนิยมและเผด็จการที่เผยแพร่ไปทั่วโลก
มากพอ ๆ กับอุดมการณ์ทุนนิยมและประชาธิปไตยที่นำโดยอเมริกา การแข่งขันในช่วงหนึ่งโดยเฉพาะในปี 1961 ที่ยูริ กาการิน บินขึ้นสู่อวกาศเป็นคนแรกของโลกนั้น ความรู้สึกก็คือ โซเวียตรัสเซียกำลังจะกลายเป็น “สุดยอดของโลก” อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นสหภาพโซเวียตรัสเซียก็เริ่มสะดุด ระบอบสังคมนิยมเริ่มจะเสื่อมถอย อาจจะเพราะคนขาดแรงจูงใจในการทำงานรวมถึงไม่กล้าที่จะคิดสร้างสรรค์ที่อาจจะขัดกับ “รัฐ” ที่ควบคุมความคิดของคนในประเทศ
ถึงปี 1991 สหภาพโซเวียตก็ “ล่มสลาย” รัฐอิสระใหม่ ๆ กว่า 10 ประเทศเกิดขึ้นรวมถึงรัฐใหญ่เช่นยูเครน สหภาพโซเวียตที่มีประชากรเกือบ 300 ล้านคนซึ่งมากกว่าสหรัฐที่มี 250 ล้านคน ลดเหลือเพียงครึ่งเดียวคือประมาณ 150 ล้านคนที่เป็นคนของประเทศรัสเซีย และก็แทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลยหลังจากนั้นจนถึงวันนี้ ขณะที่ยูเครนก็มีประชากรประมาณ 50 ล้านคนและก็อยู่ในระดับใกล้เคียงจนถึงปัจจุบัน
ส่วนอเมริกากลับมีคนเพิ่มขึ้นเป็น 330 ล้านคนในปัจจุบัน ความยิ่งใหญ่ของรัสเซียนั้น ถ้าว่ากันทางเศรษฐกิจแล้วก็ต้องพูดว่าหมดไปแล้วเพราะอยู่ในอันดับ 12 ของโลกรองจากเกาหลีใต้และมีขนาดเพียง 7.5% ของ GDP ของสหรัฐ และถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่ารัสเซียยังมีหัวรบนิวเคลียร์จำนวนมหาศาลในคลัง ความเป็น “มหาอำนาจ” ก็น่าจะหมดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซียวันนี้อายุ 70 ปีแล้ว วันที่สหภาพโซเวียตล่มสลายเขามีอายุ 39 ปี ในวันนั้นเขาเป็น KGB หรือเป็น “สายลับ” ในต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าคนที่ทำงานแบบนี้ในประเทศสังคมนิยมที่เป็นอภิมหาอำนาจในยุค “สงครามเย็น” นั้น ย่อม “ไม่ธรรมดา” ต่อมาเขาก็เข้าเล่นการเมืองและได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2000 จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 22 ปีแล้วที่เขาอยู่ในอำนาจ
ถ้าพูดถึงความนิยมในหมู่คนรัสเซียนั้น ก็ต้องถือว่าน่าจะอยู่ในระดับที่ดีใช้ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่วิธีที่ใช้ในการปกครองของเขานั้น วัดโดย “มาตรฐานสากล” ก็ต้องถือว่าเป็นแบบ “เผด็จการ” เพราะมีการปิดกั้นเสรีภาพในด้านข่าวสาร การจับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง การเลือกตั้งไม่โปร่งใส เป็นต้น
ปูตินน่าจะมีความรู้สึกเคียดแค้นต่อคนอย่างอดีตประธานาธิบดีกอร์บาช็อบที่ทำการปฎิรูประบบการปกครองต่าง ๆ และเน้นในเรื่องการเปิดกว้างของสังคม ความโปร่งใสและสิทธิเสรีภาพรวมถึงความเป็นประชาธิปไตยที่เรียกว่า “Glasnost” ในช่วงปี 1986-1991 ซึ่งนำไปสู่ความล่มสลายของสหภาพโซเวียตที่มีรัสเซียเป็นแกนนำ เขาคงต้องการที่จะนำรัสเซียซึ่งเคยยิ่งใหญ่ระดับโลกมาตั้งแต่อดีตและเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสหภาพโซเวียตกลับมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็อาจจะคล้าย ๆ กับความคิดของฮิตเลอร์
เขตดอนบาสทางด้านตะวันออกของยูเครนที่เป็นจุดที่รัสเซียจะเข้ายึดครองนั้นคล้ายกับซูเดเตนที่ว่ามันมีคนเชื้อสายของรัสเซียอยู่มากและเป็นเขตที่ถูก “กดขี่” แต่ถ้าต่อไปรัสเซียจะเข้ายึดยูเครนทั้งหมด มันก็จะคล้ายกับเช็กโกสโลวาเกีย หรืออาจจะคล้ายออสเตรียในแง่ที่ว่า ยูเครนนั้นแท้ที่จริงเป็นของรัสเซียมาตั้งแต่ต้น ความคล้ายยังอยู่ที่ว่า ก่อนการบุกยึดนั้น ปูตินได้ไปพบสีจิ้นผิงเพื่อที่จะหามิตรที่จะช่วยสนับสนุน “ความชอบธรรม” ซึ่งในอนาคตจีนเองก็อาจจะต้องการยึดไต้หวันกลับเป็นของจีนก็ได้
ผมไม่รู้ว่าพัฒนาการเรื่องนี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนว่านาทีนี้ “โลกเสรี” กำลังพยายามต่อต้านรัสเซียแต่ก็กลัวว่าจะเกิดสงครามที่ไม่พร้อมจะรับ ในขณะเดียวกันก็กลัวว่าถ้าปล่อยไปก็อาจจะคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้แต่ใช้การแซงชั่นทางเศรษฐกิจซึ่งยากที่จะสำเร็จเมื่อพิจารณาจากการแซงชั่นที่ผ่านมา เราคงต้องดูกันต่อไปว่า โลกในยุคศตวรรษที่ 21 สงครามจะเป็นแบบไหน
ผมเองก็ได้แต่หวังว่าปัจจัยชี้ขาด จะเป็นการต่อสู้ทางการค้าและข้อมูลข่าวสารที่ไม่เสียเลือดเนื้อเป็นหลัก ซึ่งถ้าวัดจากดัชนีตลาดหุ้นในช่วง 5 วันที่ผ่านมาก็พบว่าดัชนีตลาดหุ้นรัสเซียตกลงไปถึง 27% ซึ่งในความคิดของผมก็คือมันเป็นสัญญาณว่า การก่อสงครามครั้งนี้รัสเซียจะเสียหายอย่างหนักและไม่คุ้มเลยที่ทำ พูดอีกอย่างก็คือ ผมเชื่อว่ารัสเซียจะไม่กลับมายิ่งใหญ่และจะยิ่งเลือนหายไปในประวัติศาสตร์