เรื่องเกี่ยวกับประเทศรัสเซียนั้นผมคิดว่าคนไทยรู้จักและสนใจค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจพอ ๆ กัน อย่างเกาหลีใต้ เหตุผลสำคัญอาจจะมาจากการที่รัสเซียอยู่ห่างจากประเทศไทยค่อนข้างมากและมีการติดต่อค้าขายน้อยและวัฒนธรรมของผู้คนแตกต่างกันมาก เราแทบไม่เคยเห็นหรือใช้สินค้ารัสเซียไม่ต้องพูดถึงภาพยนตร์ ดารานักร้องที่มีชื่อเสียงหรือแม้แต่นักกีฬาที่โดดเด่นที่จะเป็นข่าวให้เราติดตามแบบประเทศที่ก้าวหน้าและ “เปิด” อย่างอเมริกา ยุโรป หรือเอเชีย
สิ่งที่เรารับรู้มากหน่อยเกี่ยวกับรัสเซียก็อาจจะเป็นเรื่องของนักท่องเที่ยวและชุมชนชาวรัสเซียโดยเฉพาะแถวพัทยาและที่เด่นที่สุดก็คือ “ผู้นำสูงสุด” ของรัสเซีย คือ วลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งอยู่ใน “เวทีโลก” ในด้านการเมืองเป็นเวลานานมาก นับถึงวันนี้ก็กว่า 20 ปีแล้ว ดูเหมือนว่าปูตินจะมีความสุขและแสดงให้โลกเห็นและรับรู้ว่า รัสเซียนั้นยังเป็น “มหาอำนาจ” ที่ยิ่งใหญ่และใครจะมา “ลูบคม” ไม่ได้ และนี่ก็คือสิ่งที่เราจะมาดูกันว่าจริงหรือไม่? และสงครามกับยูเครนที่ปูตินก่อขึ้นจะลงเอยอย่างไรและจะกระทบกับรัสเซียและโลกอย่างไร—โดยเฉพาะในเรื่องของหุ้น—ทั่วโลก
การวิเคราะห์นั้น ผมจะเดินเรื่องตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต และตามด้วยรัสเซียที่มีปูตินเป็นผู้นำหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน และเนื่องจากเวลาส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดในช่วงหลังนั้น อยู่ในช่วงที่มีปูตินเป็น “ผู้จัดการ” รัสเซียและปูตินจึงแทบจะแยกกันไม่ออก การเติบโตก้าวหน้าหรือล้าหลังของประเทศก็มีส่วนสำคัญจากปูติน สถานะความเข้มแข็งของรัสเซียก็น่าจะอยู่ที่บทบาทของปูติน ถ้าเปรียบรัสเซียเป็น “หุ้น” ตัวหนึ่งในหุ้นโลกหรือประเทศทั้งหมดในโลก ปูตินก็เป็น “ซีอีโอ” ของบริษัทรัสเซีย
ประเทศรัสเซียหรือหุ้นรัสเซียนั้นเคยยิ่งใหญ่มากและอยู่มานาน CEO ปูตินเองก็อายุมากและบริหารงานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 และก็ดูเหมือนว่าจะได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถและเก่งกาจโดยเฉพาะในทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศ แต่บัดนี้เป็นยุคของศตวรรษที่ 21 แล้ว สภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจะมา Disrupt หรือทำลายแนวความคิดและวิธีการเดิมของปูตินหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ต้องมาพิจารณากัน
การวิเคราะห์พลังอำนาจและความยิ่งใหญ่ของประเทศนั้น ก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นเรื่องยาก เพราะโลกยังไม่มีข้อมูลที่เรียกว่า “GDP” หรือภาษาไทยก็คือ “ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ” ต่อปี นี่คือปริมาณสินค้าและบริการทั้งหมดที่ประเทศผลิตได้ ตั้งแต่เรื่องของอาหารและ ปัจจัย 4 ที่คนจำเป็นต้องใช้ และข้อมูลข่าวสารที่เป็นเป็นความรู้ความฉลาดที่จะช่วยเพิ่มพลังในการผลิต รวมถึงอาวุธที่จะใช้ในการป้องกันประเทศหรือการต่อสู้กับประเทศอื่นในแต่ละปี มันบอกถึงจำนวนของผู้คนที่เป็นพลเมืองและความสามารถของคนที่จะทำการผลิตหรือกิจกรรมอื่นเช่นการรบ ซึ่งก็จะเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่จะทำให้ผู้คนในประเทศอยู่ดีกินดีในยามสงบ และก็สามารถนำมาใช้ในช่วงที่เกิดสงคราม ดังนั้น โดยหลักการคร่าว ๆ ก็คือ ถ้า 2 ประเทศรบกัน ประเทศที่มี GDP มากกว่าก็มีโอกาสชนะสงครามมากกว่า
สหภาพโซเวียตรัสเซียนั้นเกิดขึ้นจากการรวมตัวของรัฐต่างๆจำนวนมากหลังจากการปฎิวัติบอลเชวิกโค่นล้มพระเจ้าซาร์แห่งจักวรรดิรัสเซียในปี1922 และปกครองประเทศด้วยระบบคอมมิวนิสต์มาจนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นฝ่ายผู้ชนะสงครามในปี 1945 หลังจากนั้น สหภาพโซเวียตก็เจริญเติบโตและก้าวหน้าเร็วระดับต้น ๆ ของโลกในประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ อาจจะเป็นรองเฉพาะสหรัฐอเมริกาซึ่งก็เป็นการรวมตัวของรัฐต่าง ๆ และก็เป็นฝ่ายชนะสงครามเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง ๆ เศรษฐกิจและการเมืองของสหภาพก็เกิดปัญหารุนแรง จนถึงจุดสุดท้ายในปี 1991 สหภาพโซเวียตก็ล่มสลาย
ในวันนั้น สหภาพโซเวียตมี GDP ประมาณ 3.14 ล้านล้านดอลลาร์และเป็นอันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นที่ 3.7 และอเมริกาที่ 6 ล้านล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม ถ้าวัดจากกำลังซื้อจริง ๆ (หรือ PPP) สหภาพโซเวียตมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับสหรัฐ นอกจากนั้น จำนวนประชากรของโซเวียตยังมากกว่าสหรัฐด้วย พูดง่าย ๆ ในปี 1991 นั้น สหภาพโซเวียตยิ่งใหญ่จริงและเป็น “ซุปเปอร์เพาเวอร์” เท่า ๆ กับสหรัฐ
หลังจากโซเวียตล่มสลาย ประชากรของรัสเซียเหลือเพียงครึ่งเดียวที่ประมาณ 150 ล้านคน เศรษฐกิจก็ตกต่ำลงไปมาก GDP ของรัสเซียไม่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถึงแม้ว่ารัสเซียยังมีหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุดแต่ก็แทบจะไม่มีบทบาทหรือศักดิ์ศรีอะไรในเวทีโลกมากนัก และการ “แข่งขัน” กับสหรัฐในแทบทุกด้านก็จบลงไปด้วย เวลาผ่านไปเกือบ 10 ปีที่เศรษฐกิจไม่โตเลยและมีแต่เล็กลงจนถึงปี 2000 GDP อยู่ที่ 259,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือแค่ 10% จากจุดสูงสุดของโซเวียต และนั่นก็คือวันที่ปูตินได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของรัสเซียสมัยแรก และนั่นก็น่าจะเป็นจุดเริ่มของการพยายามที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ของโซเวียตและอาณาจักรรัสเซียในอดีตให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ภายใต้ปูตินโดยเฉพาะในช่วง 8 ปีแรกนั้น รัสเซียได้เริ่มนำระบบทุนนิยมมาใช้และเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหรรมการขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่รัสเซียมีอยู่มาก ผลก็คือ เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยถึงปีละ 26% จนถึงปี 2008 GDP ก็มีขนาด 1.66 ล้านล้านเหรียญสหรัฐก่อนที่จะตกลงมาในช่วงปี 2009 เหลือ 1.22 ล้านล้านเหรียญ อานิสงค์จากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ของสหรัฐและการตกลงมาของราคาน้ำมันดิบจาก 140 เหลือเพียง 41เหรียญต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ขนาดของ GDP รัสเซียในปี 2010 ก็กลับมาติดอันดับ 10 ของโลกในปี 2010 ที่ประมาณ 1.52 ล้านล้านเหรียญ ควบคู่กับหัวรบนิวเคลียร์ที่ยังอยู่ครบ ปูตินรัสเซียก็เริ่มจะเชิดหน้าได้ และเขาเตือนโลกเสมอว่า รัสเซียนั้นยังเป็นมหาอำนาจที่ใครจะมาหยามไม่ได้
เศรษฐกิจรัสเซียเดินหน้าเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็วต่อจนถึงจุดสูงสุดในปี 2013 ที่ 2.21 ล้านล้านเหรียญ ปูตินน่าจะเริ่มมีความเชื่อมั่นในตนเองและศักยภาพของรัสเซียมากขึ้นมากจนถึงเวลาที่จะเริ่มรวบรวม “อดีต” รัฐโซเวียตให้กลับมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ในช่วงต้นปี 2014 เขาก็เข้ายึดครองไครเมียของยูเครนและเริ่มส่งเสริมผู้คนในเขตดอนบาสของยูเครนให้แยกตัวเป็นอิสระซึ่งในที่สุดก็อาจจะกลับไปรวมกับรัสเซีย
การดำเนินการครั้งนั้นแทบไม่มีมหาอำนาจยุโรปคัดค้านรุนแรง เหตุเพราะทั้ง 2 เขตนั้นมีคนเชื้อสายรัสเซียเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต่อมาอีกหลายเดือนสหรัฐก็เริ่ม “แซงชั่น” รัสเซียอย่างเบา ๆ เพื่อเป็นการเตือนว่าไม่เห็นด้วย นั่นประกอบกับการที่ราคาน้ำมันตกลงมาจากประมาณ 100 เหลือ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลซึ่งทำให้ค่าเงินรูเบิลตกลงมาครึ่งหนึ่งคือจาก 33 รูเบิลต่อ 1 ดอลลาร์กลายเป็น 66 รูเบิลต่อ 1 ดอลลาร์ในเวลาไม่กี่เดือน ดังนั้น พอถึงปี 2015 GDP ของรัสเซียก็ตกลงมาเกือบครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 1.36 ล้านล้านเหรียญ
เวลาผ่านไปอีก 6-7 ปี เศรษฐกิจรัสเซียก็โตกลับขึ้นไปใหม่ ส่วนหนึ่งก็ตามราคาน้ำมันดิบที่เป็นผลิตผลหลักของรัสเซียแต่ GDP ก็ไม่เคยกลับขึ้นไปเกิน 1.7 ล้านล้านเหรียญ จนกระทั่งถึงปีนี้ที่รัสเซียเริ่มบุกและดูเหมือนว่าอาจจะยึดยูเครนทั้งประเทศซึ่งทำให้นาโต้และอเมริกาแซงชั่นอย่างหนักที่สุดทันที
ผลก็คือ ค่าเงินรูเบิลตกลงมาเกือบครึ่งทันทีจาก 70 ต้น ๆ เป็นเกือบ 140 รูเบิลต่อ 1 ดอลลาร์ และถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป GDP ของรัสเซียก็อาจจะลดเหลือเพียง 1 ล้านล้านเหรียญหรือมากกว่าของไทยเพียงเท่าเดียว แม้ว่าราคาน้ำมันอาจจะเพิ่มขึ้นเกิน 100ดอลลาร์ต่อบาร์เรลก็อาจจะไม่ช่วยอะไรมากนักเพราะสินค้าอื่นถูกแซงชั่นไปมากมาย
ความผิดพลาดของปูตินโดยเฉพาะในการพยายามพารัสเซียกลับไปยิ่งใหญ่แบบเดิมผ่านการทำสงคราม ทำให้รัสเซียถูกแซงชั่นและค่าเงินตกลงซึ่งส่งผลให้ GDP ลดลงมาก ในขณะเดียวกัน ในด้านของเศรษฐกิจที่อิงอยู่กับน้ำมันดิบและทรัพยากรธรรมชาติมาก ทำให้การพัฒนาด้านอื่นไม่ก้าวหน้า “ตามโลกสมัยใหม่ไม่ทัน” จะส่งผลให้รัสเซียเล็กลงและมีศักยภาพน้อยลงจนในที่สุดก็อาจจะไม่มีความสำคัญมากอีกต่อไปนอกจากจะเป็น “ภัยคุกคาม” ต่อโลกเพราะมีหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุด
แต่ในประเด็นอื่น ๆ นั้น ผมกำลังมองว่าเศรษฐกิจรัสเซียจริง ๆ ในวันนี้ไม่ได้ใหญ่พอที่จะเป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลกได้เลย ดังนั้น ในขั้นนี้ผมคิดว่านักลงทุนไม่ต้องเป็นห่วงมากนักกับสงครามรัสเซียยูเครน ผมคิดว่าหุ้นโลกลงรอบนี้อาจจะไม่ได้มีส่วนจากสงครามมากนัก มันอาจจะถึงเวลาลงของมันอยู่ก่อนแล้วก็ได้หลังจากที่ปรับตัวขึ้นแรงมายาวนานหลาย ๆ ปี สงครามอาจจะซ้ำเติมบ้างแต่ไม่มาก