MTC SAWAD TIDLOR หุ้นทรงสวย

04 ส.ค. 2565 | 22:30 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ส.ค. 2565 | 02:19 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By...เจ๊เมาธ์

*** หนึ่งในกลุ่มหุ้นที่ยังคงสามารถยืนอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้คือ หุ้นกลุ่มลีสซิ่งตัวใหญ่อย่าง MTC SAWAD และ TIDLOR ซึ่งทั้ง 3 บริษัทล้วนมีจุดเด่นจุดด้อยที่ต่างกันไป

 

*** โดยทางด้านของ MTC ซึ่งมีจุดเด่นที่จำนวนสาขาและขนาดของพอร์ตสินเชื่อที่ใหญ่ที่สุด รวมไปถึงมีจุดเด่นในเรื่องของสินเชื่อรถจักรยานยนต์ ขณะที่ทาง SAWAD มีจุดเด่นที่จำนวนสาขาที่แทบจะไม่ด้อยไปกว่าทาง MTC รวมไปถึงการมีจุดเด่นในพอร์ตจำนำโฉนดที่ดินใหญ่สุด ส่วนทางด้านของ TIDLOR ซึ่งเป็นผู้นำตลาดจำนำทะเบียนรถยนต์ที่ใหญ่กว่า MTC และ SAWAD แต่ก็มีจุดอ่อนในเรื่องของจำนวนสาขาที่น้อยกว่าใครเช่นกัน โดยมีโจทย์ใหญ่ที่กำลังเป็นปัญหาของลีสซิ่งทั้ง 3 ราย ก็หนีไม่พ้นกระแสดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ทำธุรกิจแบบ “เงินต่อเงิน” ด้วยการกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อมาปล่อยต่อให้กับลูกค้า

*** อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ๊เมาธ์ เจ๊กลับมองว่าในเมื่อ ธปท. ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้เมื่อไหร่ รวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ยังเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจลีสซิ่งสามารถขยายตลาดในแนวราบและเติบโตไปได้เรื่อยๆ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในการแจ้งผลการดำเนินงาน 2/65 ที่ใกล้จะประกาศออกมา ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงยังคงจัดลำดับความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มลีสซิ่งจาก MTC ไปที่ SAWAD และสุดท้ายเป็น TIDLOR อยู่เหมือนเดิม ส่วนถ้าใครจะชอบแบบไหนก็หาจังหวะเข้าได้นะคะ กลุ่มนี้ถือยาวได้ค่ะ

 

*** หลังจากที่หุ้นใหญ่อย่าง TLI (บมจ. ไทยประกันชีวิต) ไม่สามารถก้าวข้ามเส้น Fast Track เพื่อเบียดเข้าไปอยู่ใน SET50 และ SET100 ก็ทำให้หุ้นที่เป็นตัวเต็งว่าจะถูก TLI เข้ามาแทนที่อย่าง IRPC และ SAWAD ก็ดูเหมือนจะหายใจหายคอได้โล่งขึ้น โดยในส่วนของ IRPC ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาที่ราคาหุ้นค่อนข้างจะนิ่ง แม้ว่าผลการดำเนินงาน 2/65 ที่กำลังจะประกาศออกมาก็มีแนวโน้มว่า IRPC จะทำได้ดีมากขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่า ถ้ามองภาพรวมแล้วแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปีนี้กลับมีทางทีว่ากำไรจะทยอยลดลง ซึ่งจุดนี้กลายเป็นปมที่ยังดึงไม่ให้ราคาหุ้นของ IRPC ขยับขึ้นได้อย่างที่ควรจะเป็นนั่นเอง อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ๊เมาธ์แล้วเจ๊ยังมองว่า IRPC เป็นหนึ่งในหุ้นที่ยังมีโอกาสไปต่อ และราคาหุ้นในระดับนี้ถือว่าเป็นจุดที่ยังสะสมได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจังหวะของใครของมันเจ้าค่ะ

*** หลังจากที่คณะอนุกรรมการ 4 ชุด ได้นำส่งผลการศึกษากรณีการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE กับ DTAC ไปเมื่อวันที่ 3 ส.ค. หลังจากนี้ไปก็เพียงรอว่า คณะกรรมการของ กสทช. จะสรุปผลออกมาว่าจะอนุญาตให้ TRUE และ DTAC รวมกันได้หรือไม่ ซึ่งในกรณีที่สามารถรวมกันได้ดูเหมือนว่าทางด้านของ DTAC จะมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะอัพไซต์ได้มากกว่า TRUE อยู่พอสมควร โดยมุมมองของเจ๊เมาธ์ เจ๊มองว่าการควบรวมระหว่าง TRUE และ DTAC จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างแรกคือ ถ้าไม่สามารถรวมกันได้ ก็น่าจะวงแตก หรือ มีคำแก้ตัวออกมาแล้ว ส่วนอย่างที่สองก็คือบทเรียนที่ได้จากบริษัทแม่ของ TRUE อย่าง บริษัท ซีพีกรุ๊ป ซึ่งเคยดึงเอา Tesco เข้ามารวมอยู่ในอาณาจักรทั้งมีห้างสรรพสินค้าในมืออยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องของข่าวลือที่แสดงให้เห็นว่า การควบรวมกันของทั้งสองบริษัท มันก็เป็นแค่เกมเพื่อทำให้ดูว่า “ทำได้ยาก” เท่านั้น และท้ายที่สุดทั้ง TRUE และ DTAC ก็ต้องควบรวมกันอยู่ดี

 

*** จังหวะนี้แนวต้านที่ราคา 28.00 บาท ถือว่าเป็นแนวต้านที่สำคัญที่สุดของ BDMS เนื่องจากราคานี้เป็นราคาสูงสุดตลอดกาลที่บริษัทฯ เคยทำเอาไว้ ซึ่งหากจะมองไปยังแนวโน้มของธุรกิจก็จะเห็นได้ว่า จังหวะนี้เป็นโอกาสดีที่สุดของการขยับราคาข้ามแนวต้าน เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนไข้ชาวต่างชาติที่กำลังกลับมา เรื่องของการซื้อ บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) หรือ SVH เพื่อทำการเพิกถอนออกจากตลาด การขยาย Wellness Clinic การจับมือกับ COM7 เพื่อทำร้านขายยา รวมไปถึงผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นจังหวะที่แสดงให้เห็นว่า BDMS กำลังอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มกันเลย ดังนั้น ถ้าใครชอบก็ต้องหาจังหวะกันได้แล้ว นาทีนี้ถือได้ว่าเหมาะสมที่สุดแล้วค่ะ

 

*** หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,807 วันที่ 7 - 10 สิงหาคม พ.ศ. 2565