กสทช.ต้องตัดสินใจ ควบ-ไม่ควบ TRUE-DTAC

22 ก.ย. 2565 | 22:33 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ย. 2565 | 08:04 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** ค่าเงินบาทอ่อนค่า แตะ 37.38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% เป็นการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นเป็น 3.00-3.25% และยังคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 4.4% ภายในสิ้นปีนี้ นั่นหมายถึงเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ย.อีกครั้ง
 

*** หากมองหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า ก็ต้องเป็นหุ้นกลุ่มส่งออก เช่น  DELTA ,KCE, HANA, TU ,CPF, ASIAN, NER, XO และ SAPPE หุ้นประกัน เช่น TLI, BLA, AYUD, TIPH และหุ้นกลุ่มธนาคาร เช่น KBANK, BBL, SCB, TTB ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ กนง. จะพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง เพื่อจัดการกับเงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 16 ปี ในการประชุมครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม ถ้าใครจะลงทุนในระยะยาว ก็อาจจะต้องพิจารณาเรื่องความผันผวนของภาวเศรษฐกิจโลกรวมเข้าไปด้วยนะคะ บางครั้งความไม่แน่นอนก็เป็นเรื่องที่แน่นอนมากกว่า จังหวะนี้การมีเงินสดน่าจะอุ่นใจที่สุดเจ้าค่ะ
 

*** ท้ายที่สุดปมปัญหาการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC ก็มีทางออก หลังจากคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้ชัดว่า ประกาศ กสทช. ปี 2553 ที่กำหนดให้การรวมธุรกิจต้องได้รับอนุญาตจาก กสทช.นั้นถูกยกเลิกไปแล้ว โดยมีประกาศปี 2561 ซึ่งกำหนดให้การรวมธุรกิจกระทำได้โดยจัดทำรายงานส่งให้ กสทช.เข้ามาแทน ทั้งนี้ กสทช.มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ สำหรับผู้มีอำนาจเหนือตลาดมาบังคับใช้ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ  ซึ่งถ้าจะว่ากันตามตรงก็หมายความว่า กสทช. ไม่มีอำนาจในการตัดสินว่า TRUE และ DTAC จะรวมกิจการกันได้หรือไม่ สิ่งที่ กสทช. ทำได้ก็คือ กำหนดกติกาว่า การควบรวมจะไม่ทำให้เกิดความเสียหายประโยชน์สาธารณะเท่านั้น 
 

ดังนั้นจึงชัดเจนว่า หากการควบรวมกิจการของ TRUE และ DTAC สร้างปัญหาขึ้นมาในอนาคต จะต้องมีผู้รับผิดชอบในฐานของผู้มีส่วนร่วมในฐานะของผู้อนุมัติ หรือถ้าหากจะมีปัญหาตามมา ก็เป็นเพียงเรื่องการกำหนดกติกา ที่อาจจะไม่ครอบคลุมและรัดกุมเพียงพอเท่านั้นเอง หลังจากนี้ไปก็คงต้องรอดูว่ากติกาที่ กสทช. กำหนดออกมาจะมีรูปแบบอย่างไร 
 

แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ ตลาดนี้จะเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 2 ราย ขณะที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็ทำได้แค่เป็นฝ่ายตั้งรับ และรอดูว่า ผู้ให้บริการจะตอบสนองค่าบริการที่จ่ายไปคุ้มค่าพอหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าการมีผู้เล่นเพียงแค่ 2 ราย จะทำให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจกันจริงๆ หรือจะจับมือดำเนินธุรกิจไปในทิศทางที่เอื้อประโยชน์ต่อกันนั้นเอง    
 

*** เห็นสำนักวิเคราะห์บางแห่งให้ราคาเป้าหมายของ SABUY เอาไว้สูงถึง 50 บาท เจ๊เมาธ์ก็ทำได้แค่ยิ้มอ่อนๆ อ่ะๆๆ บอกเอาไว้ก่อนว่า เจ๊เมาธ์ไม่ได้หมายความว่า SABUY จะขึ้นไปถึงราคาเป้าหมายที่ว่านั้นไม่ได้ เพราะจากที่เคยได้เห็นรูปแบบการไล่ราคาของหุ้นตัวนี้ เจ๊เมาธ์ก็บอกได้เลยว่าถ้าจะเล่นกันจริงๆ ถ้าคนทำราคามีทุนพอ เขาก็ทำได้อย่างไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพียงแต่ปัญหาของ SABUY กลับดูเหมือนว่าอาจจะแตกต่างออกไปบ้าง
 

อย่างแรกคือ การเล่นข่าวจับดีลเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นการสะกดจิตตัวเองว่า กำลังโตแรง ด้วยการเข้าไปลงทุนในดีลต่าง ๆ แล้วจะได้กำไรทันที...หรืออย่างช้าก็จะมีกำไรภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งมันเร็วเกินจริง จนทำให้ต้องดึงเอาตัวเลขอื่น ๆ เข้ามาใส่ในงบดุลเพื่อให้ดูว่าตัวเลขสวย (กรณีของการใส่ตัวเลขของมูลค่าเงินลงทุนในตราสารทุน) 
 

อย่างที่สอง คือ การเข้าไปดีลลงทุน กับบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์บางแห่งแล้วบอกว่าจะรับรู้รายได้ในทันที มันก็ทำให้มีคำถามขึ้นมาว่า อ้าว...แล้วที่เขาทำอยู่ ถ้ามันไม่มีกำไร แต่ทำไมพอ SABUY เข้ามาแล้ว กลับมีกำไรขึ้นทันที ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ทำให้เจ๊เมาธ์อดสงสัยไม่ได้ว่าเป้า 50 บาท ที่ว่ามา ไปถึงได้เมื่อไหร่ก็เท่านั้นเอง
 

*** มีสายรายงานมาว่า TGE เป็นหนึ่งในหุ้นที่ “แก๊งปลาดุก” พยายามเข้าไปมีส่วนร่วม ตั้งแต่ช่วงแรกของการเข้าตลาด รวมไปถึงมีข่าวว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ “เซียนพระ” อยากจะโชว์ฝีมือว่า ตัวเองก็ทำหุ้นเป็นเหมือนกัน แต่ท้ายที่สุดเจ๊เมาธ์ก็ไม่รู้ว่าข่าวลือเหล่านี้ ก็ไม่รู้ว่ามีมูล หรือ ความเป็นจริงแค่ไหน...เพราะราคาหุ้นยังไม่ไปไหนนั่นเอง 
 

อย่างไรก็ตามล่า สุดมีข่าวว่า ได้มีการคุยกับ เสี่ย น. จนจบดีล จนทำให้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าราคาหุ้นของ TGE เริ่มจะมีการขยับราคาขึ้นมา เอาเป็นว่าหลังจากที่ข้ามราคาจองซื้อที่ 2.00 บาท ไปได้  TGE จะไปต่อได้อีกไกลแค่ไหน เพราะได้ข่าวว่า ถ้าปลาดุกไม่ออกไป...ราคาหุ้นก็จะไม่ไปเหมือนกันค่ะ 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,821 วันที่ 25 - 28 กันยายน พ.ศ. 2565