*** พูดกันมานานว่าการที่ GULF ได้ลงทุนซื้อหุ้นของ INTUCH จนล่าสุดมีหุ้นอยู่ในมือจำนวน 46.07% ถือเป็นก้าวแรกของการวางหมาก เพื่อเข้ามาเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ ที่มากกว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก และยังเป็นมากกว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านการรับเหมาและบริหารโครงการ เช่น การลงทุนทำท่าเรือร่วมกับกลุ่ม ปตท. ทั้งท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 และ ท่าเรือแหลมฉบัง จับมือกับกลุ่ม BTS ไปลงทุนงาน O&M มอเตอร์เวย์ ตั้งบริษัทร่วมทุนกับ “สิงห์เทล” เพื่อทำธุรกิจด้านการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล และยังจับมือกับ Binace เพื่อจัดตั้งธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Crypto Exchange อีกด้วย
และล่าสุด GULF ได้ตัดสินใจใช้เงินจำวน 4.5 พันล้านบาท เข้าซื้อหุ้น THCOM ทั้งหมดที่ INTUCH ถืออยู่ในจำนวน 450.87 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 41.13% ของหุ้นทั้งหมดของ THCOM ในราคา 9.92 บาท/หุ้น นัยว่าเพื่อจะได้ก้าวเข้าไปสู่ธุรกิจดาวเทียม รวมถึงธุรกิจอวกาศ (Space) และ ดิจิทัล ซึ่งเป็นความชำนาญเฉพาะด้านแบบหนึ่งเดียวของ THCOM ที่ไม่มีคู่แข่งอื่นในประเทศไทยนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การที่ GULF ระบุว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนถึง 4.5 พันล้านบาท อาจจะเป็นการพูดที่ไม่ยังพูดไม่หมด ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเมื่อ INTUCH มีรายได้ที่สามารถบุ๊คเป็นตัวเงินเช่นนี้ ก็อาจจะต้องจ่ายปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้นในมูลค่าราว 1.39 บาทต่อหุ้น หมายความว่า หลังจากที่รับปันผลแล้ว GULF จะได้ใช้เงินเพียงแค่ 2.4 พันล้านบาท ในการซื้อหุ้น 450.87 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 41.13% ของ THCOM เท่านั้นเอง เฮ้อ...รวยแล้วก็ยังรวยได้อีก มันก็เป็นแบบนี้นี่เองเจ้าค่ะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ
*** ชัดเจนแล้วว่า BTG เคลียร์ชัดได้จ่ายปันผล 10,500 ล้านบาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งทางผู้บริหารของ BTG ยืนยันว่าเป็นการจ่ายปันผลจากกำไรสะสมในอดีต จากผลการดำเนินงานก่อนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมไปถึงประเด็นการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 450,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิม หรือ RO ในอัตรา 1 หุ้นเดิม ต่อ 1.5 หุ้นสามัญเพิ่มทุนในราคาหุ้นละ 10 บาท รวมถึงเรื่องไซเลนต์พีเรียด ทุกอย่างล้วนถูกเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเอาไว้แล้วในหนังสือชี้ชวน ซึ่งทั้งหมดมันก็วนกลับมาถึงเรื่องที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปว่า BTG อ่อนเรื่องการประชาสัมพันธ์...และการให้ข้อมูลเพื่อทำให้นักลงทุนเข้าใจก่อนที่จะเข้ามาระดมทุนในตลาดฯ
อย่างไรก็ตาม...ไม่แน่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจนทำให้นักลงทุนที่จองหุ้นไอพีโอ ต้องเจ็บปวดอาจจะเป็นการจงใจที่จะไม่พูดถึง แต่ตั้งใจให้ข้อมูลกับนักลงทุนเหมือนกับข้อมูลที่บริษัทขายประกัน หรือ บริษัทขายบัตรเครดิตหลายแห่งจงใจพูดถึงแต่ข้อดีของผลิตภัณฑ์โดยที่ไม่พูดถึงข้อเสียเอาไว้เลย เพราะเมื่อเข้าตลาดฯ หรือระดมทุนได้แล้วอะไรก็ไม่สำคัญ เมื่อเกิดปัญหาในภายหลังก็บอกว่า ได้อธิบายข้อมูลเอาไว้แล้ว แต่นักลงทุนไม่ได้อ่าน หรือ อ่านไม่ละเอียดเองก็เป็นไปได้...ใครจะรู้
*** ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำสั่งของ ก.ล.ต. ที่สั่งปรับรวมถึงสั่งการให้ บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) แก้ไขการดำเนินการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน และอีกหลายประเด็นไม่ได้รับการตอบสนอง จนเป็นเหตุให้นักลงทุนที่มีเงินจนล้นมือ มั่นใจว่าการมีบริษัทที่จดทะเบียนและดำเนินการอยู่ในต่างประเทศ ทำให้ผู้คุมกติกาและกฎหมายไทยเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านและทำอะไรไม่ได้หรือไม่ ล่าสุด Zipmex ซึ่งเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ของ บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด ที่เคยประกาศระงับการเพิกถอนเงินบาท และ คริปโตเคอร์เรนซี จนสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนเกือบ 2,000 ล้านบาท ก็เริ่มมีข่าวว่าจะสามารถปิดดีลขายกิจการให้ V Ventures ซึ่งเป็นกองทุน Venture Capital ของบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA บริษัทขนส่งทางเรือรายใหญ่ของไทย และมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ “เสี่ยกึ้ง” เฉลิมชัย มหากิจศิริ จนเป็นเหตุให้ราคาเหรียญ ZMT ก็ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ราคา 7.2 บาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นมากกว่า 44% ภายในระยะเวลาแค่วันเดียว ก็อย่างว่า...ช่องว่างมันเยอะแต่ก็ทำเงินได้เยอะและทำได้ไวเช่นกัน โลกเค้าไปไกลแล้ว ...ถ้าผู้คุมกฎทั้งหลายตามโลกไม่ทัน ก็คงได้แค่มองตามแล้วทำตาปริบๆ เท่านั้นเอง
*** การที่ราคาหุ้นของ JMT ปรับร่วงต่อเนื่องกันมานาน นั่นไม่ใช่ว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ไม่ดี แต่สาเหตุน่าจะมาจากการจุดพลุเชียร์กันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ว่า บริษัทที่ทำธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) ดีเกินจริงรวมไปถึงการที่มีนักวิเคราะห์หลายสำนักที่พากันตั้งราคาเป้าหมายเอาไว้จนสูงเวอร์ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วอัตราส่วนการทำกำไรในธุรกิจนี้ไม่ถึงขนาดเป็นหุ้นเทพขนาดนั้น นี่ยังไม่นับรวมไปถึงการที่มีคู่แข่งรายใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก จนทำให้สินทรัพย์ราคาถูกที่เคยซื้อได้กลายเป็นของหายากไปหมดแล้ว ซึ่งในมุมมองของเจ๊เมาธ์ เจ๊มองว่า JMT ยังน่าจะยังไม่ไปไหนได้ไกลมากกว่านี้อีกมากนัก อย่างหนึ่ง เพราะราคาหุ้นที่แม้จนร่วงลงมาเยอะแล้ว แต่ก็ยังถือว่าสูง ส่วนอย่างที่สองคือจังหวะนี้มีหุ้นอีกหลายกลุ่มที่เริ่มน่าสนใจมากกว่าขยับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่นได้มากกว่า อย่างไรก็ตามถ้าใครยังชอบก็ต้องเล่นรอบไปก่อน เพราะถึงตอนนี้...เรื่องจังหวะของการถือยาวน่าจะผ่านไปแล้ว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,834 วันที่ 10 - 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565