เมื่อก๊วน JMART & SABUY เริ่มจะไม่สบาย…

26 เม.ย. 2566 | 00:45 น.
อัพเดตล่าสุด :26 เม.ย. 2566 | 00:56 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย…เจ๊เมาธ์

*** หลังจากที่ราคาหุ้น SABUY หลุดแนวรับสำคัญที่ 10 บาท ทำให้ผู้ถือหุ้นเริ่มไม่สบายเหมือนกับชื่อหุ้นอีกแล้ว อย่างหนึ่งเป็นเพราะราคาหุ้น 10 บาท แบบนี้ถือว่าหลุดแนวรับทางจิตวิทยาสำคัญซึ่งหากไม่สามารถยืนอยู่ได้ ก็อาจมีโอกาสปรับร่วงลงไปต่อได้อีก 

อย่างที่สองก็คือ ระดับราคาต่ำกว่า 10 เป็นระดับราคาต่ำที่สุดในรอบปีหลุดลงไปจาก EMA 15 45 และ 100 ในขณะที่ RSI ลงไปอยู่ในแนว Oversold รวมไปถึง MACD ที่หลุดลงไปต่ำกว่า 0 ถือว่าเป็นสัญญาณขาลง

ทางเทคนิคที่ชัดเจน ท้ายที่สุดเป็นเรื่องที่ SABUY เข้าไปลงทุนซื้อ SINGER ซึ่งหนึ่งในหุ้นกลุ่มตัวเจ อันประกอบไปด้วย JMART JMT SINGER J และ SGC แต่ภายหลังจากที่หุ้นกลุ่มนี้เริ่มมีปัญหาราคาร่วงลงทุกตัวก็ทำให้ SABUY ออกอาการติดหุ้นจนต้องไล่ถัวราคาลงมาเรื่อย 

โดยเริ่มตั้งแต่ราคา 27 บาทซึ่งเป็นราคาแรกซื้อ จนมาซื้อเพิ่มที่ราคา 22 บาท และล่าสุดก็ยังจะเข้าไปถัวเพิ่มจนสัดส่วนการถือหุ้นของ SABUY ที่ได้ถือหุ้นของ SINGER เอาไว้รวมแล้วสูงถึง 15% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เจ๊เมาธ์อยากตั้งข้อสงสัยเอาไว้ก็คือในวันที่ SABUY ประกาศ (1 มี.ค. 66) เข้าไปซื้อหุ้นของ SINGER ในวันนั้น ราคาหุ้นหน้ากระดานของ SINGER อยู่ที่ราคา 22.50 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาประกาศซื้อที่ 27 บาทอยู่ถึง 4.50 บาทเลยทีเดียว 

ถึงตอนนี้ เมื่อราคาหุ้นหน้ากระดานของ SINGER ได้ร่วงลงอยู่ที่ราวๆ 14 บาท ก็หมายความว่า SABUY ได้ขาดทุนจากการเข้าไปซื้อหุ้นของ SINGER คิดเป็นจำนวนเงินจำนวนไม่น้อยเลย 

ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงบอกเลยว่าการถือหุ้นของ SABUY อาจจะไม่สบายอย่างที่คิด เพราะนอกจากจะซื้อของแพงแล้วเกมแปลกจนไม่น่าไว้วางใจอีกด้วย

*** หลังจากที่ STARK ไม่สามารถส่งงบปี 65 ได้ไม่ทันวันที่ 21 เม.ย. ตามที่ได้ขอยืดเวลาเอาไว้ทำให้ปัญหาลุกลามออกไปเป็นมากกว่าเรื่องการเพิกถอนหุ้น DW ทั้งหมดที่อ้างอิงหุ้น STARK รวมถึงการถูกถีบออกจาก SET 100 เพราะหลังจากนี้ปัญหาของ STARK จะกลายเรื่องของความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจโดยเฉพาะความสามารถในการชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยธนาคาร ดอกเบี้ยหุ้นกู้รวมไปถึงการไถ่ถอนหุ้นกู้ 

โดยในส่วนของเงินกู้มีเงินกู้จากทางธนาคารในช่วง 9 เดือนแรกของปี 65 จำนวน 8.61 พันล้านบาทนั้น ทางธนาคารเจ้าหนี้อย่าง KBANK และ SCB ที่ต่างก็ออกมายอมรับแล้วว่า อาจจะต้องตั้งสำรองเผื่อกรณีที่มีปัญหามากจนควบคุมไม่ได้ 

ขณะที่ในส่วนของหุ้นกู้ 5 รุ่นรวมมูลค่า 9,198 ล้านบาททั้งหมดเป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 2 ก.ย. 66 ไปจนถึง 12 พ.ค. 68 ต่างก็มีความเสี่ยงที่ STARK อาจจะไม่สามารถชำระดอกเบี้ยได้รวมไปถึงอาจจะไม่สามารถไถ่ถอนหุ้นกู้เหล่านี้ได้เลยด้วยซ้ำ


ถึงตอนนี้เจ๊เมาธ์ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะถ้าหาก STARK สามารถเคลียร์ปัญหาจนส่งงบการเงินได้ในเดือน พ.ค. ตามที่ร้องขอเอาไว้ ...ความเสียหายที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าจะหนัก แต่ก็อาจจะควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้ไม่ยากนัก แต่ถ้าหากว่ารอบนี้ยังส่งงบไม่ได้ บอกเลยไม่ว่าจะเป็นธนาคาร กองทุน หรือนักลงทุนไม่ว่าจะรายใหญ่รายย่อยเจ็บหนักกันถ้วนหน้าอย่างแน่นอน

*** แม้ราคาบิทคอยน์จะเริ่มปรับราคาขึ้นทำให้ราคาหุ้นของ ZIGA กลับมาดูดีได้ชั่วคราวในช่วงเดือนมีนาคม แต่หลังจากนั้น ราคาหุ้นของ ZIGA ก็ทิ้งตัวลงมาเรื่อย ล่าสุดเสี่ยหนุ่ย “ศุภกิจ งามจิตรเจริญ” ได้ออกมายอมรับแล้วว่า บริษัทได้หยุดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดไปแล้ว เนื่องจากบริษัทรับจ้างขุดบิทคอยน์ที่ทำงานให้ก็มาผิดสัญญา 

ขณะที่การออกเหรียญดิจิทัลผ่านทาง บริษัท ซิก้า เอฟซี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยก็มีปัญหาเรื่องการฟ้องร้องอดีตกรรมการกับพวกในข้อหาร่วมกันยักยอกทรัพย์ เนื่องจากไม่มีการส่งมอบเงินที่ได้มาจากนักลงทุนได้ซื้อโทเคนดิจิทัล Zii Token ที่ชำระเป็นเงินสด 100 ล้านบาท ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้คดีความก็ยังไม่จบ 

นี่ยังไม่รวมไปถึงผลการดำเนินงานที่ยังไม่รู้ว่าจะดีขึ้นเมื่อไหร่ หลังจากที่ขาดทุนมากถึง 380 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา อ่อ...ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ยังไม่รวมดอกเบี้ยที่เกิดจากหุ้นกู้มูลค่าร้อยกว่าล้านบาทที่ ZIGA มีภาระจ่ายอยู่อีกด้วย เจ๊เมาธ์ก็ฝากไปถึงเสี่ยหนุ่ยเลยว่า ถ้าจะทำอะไรก็ขอให้รีบทำ ตอนนี้คนที่ติดดอยอยู่หนาวมาก อยากลงดอยใจจะขาดอยู่แล้ว

*** ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงขายของผู้ถือหุ้นเดิมในของฝั่ง DTAC ซึ่งไม่เชื่อว่าการรวมกับ TRUE จะทำให้บริษัทที่เคยมีกำไรและเคยมีเงินปันผลจะดีเหมือนตอนที่เป็น DTAC อยู่หรือเปล่าเพราะเชื่อกันว่าการรินขายที่เกิดขึ้นออกมาจากนักลงทุนเดิมในฝั่งของ DTAC เป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะผู้ถือหุ้นเดิมในฝั่งของ TRUE ที่เริ่มจะรู้แล้วว่า การรวมตัวกับ DTAC ไม่ได้ส่งเสริมให้ TRUE เปลี่ยนไปเป็นบริษัทที่มีกำไรในแบบที่ DTAC เคยเป็น 

เพราะหลังจากที่ควบรวมกิจการกันราคาหุ้นของบริษัทใหม่ในชื่อเดิมอย่าง TRUE ก็ทำเป็นยึกยักวิ่งไปต่อได้ไม่กี่น้ำ ก่อนที่ราคาหุ้นจะร่วงลงในขณะเดียวกันก็ส่งให้นักลงทุนที่ถือหุ้น TRUE ได้ขึ้นไปอยู่บนดอยแทน

เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์ขอให้กำลังใจให้นักลงทุนทุกท่านผ่านจุดนี้ไปให้ได้ เพราะท้ายที่สุด การที่ตลาดมีผู้เล่นเพียงแค่สองราย จะส่งผลให้ผู้เล่นทั้งคู่ต่างก็ได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน ส่วนจะส่งผลให้ราคาหุ้นกลับไปอยู่ที่เดิมได้เมื่อไหร่นั้นก็อาจจะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง เชื่อเถอะวันนี้ไม่ได้...พรุ่งนี้ก็ต้องได้ โบราณท่านว่า “ไม่ขายไม่ขาดทุน” เจ้าค่ะ