*** กนง. มีมติให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยขึ้นไปอยู่ที่ 1.25% กรณีนี้ส่งผลดีโดยตรงกับหุ้นธนาคารใหญ่ เนื่องจากในทุก 0.25% ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไป จะทำให้กำไรของ BBL และ KTB เปลี่ยนแปลงราว 10% ส่วน KBANK และ SCB มีโอกาสขยับขึ้นได้ 7% - 8% เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม การที่ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า อาจจะชลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดภายหลังจากที่ กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่กี่ชั่วโมง ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบครึ่งปี ส่งผลให้หุ้นกลุ่มส่งออกและกลุ่มที่มีรายรับเป็นเงินสกุลต่างชาติเช่น DELTA KCE HANA BANPU MINT ได้รับอานิสงส์ตามมาด้วย
ขณะเดียวกัน สัญญาณการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ก็ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มลีสซิ่งอย่าง MTC SAWAD TIDLOR ต่างก็เริ่มปรับราคาขึ้นมา หลังจากที่ลงไปทดสอบจุดต่ำสุดในรอบปี เนื่องจากเชื่อว่าวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นกำลังจะสิ้นสุดลงไปด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่องการปล้นเงินโบรกเกอร์กลางแดดที่ทาง ก.ล.ต. บอกว่ากำลังพิจารณา ทำอะไรได้ก็ขอให้รีบทำ ปล่อยทิ้งเวลาไปมันจะเป็นอ้อยเข้าปากช้างที่จะง้าง หรือ แกะคืนก็ทำไม่ได้ ทำเป็นเรื่อยๆ เฉื่อยฉ่ำ เพราะถ้าเลย 90 วันมันจะไม่ทันการณ์
ต้องยอมรับว่าหุ้นแสบอย่าง A5 เป็นหุ้นหนังเหนียวอีกหนึ่งตัว ที่ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะติดแคชฯ ไปกี่ครั้ง แต่ก็หยุดอยู่ได้ไม่นาน...ตั้งหลักได้ก็กลับมาวิ่งรอบกันใหม่ แถมบางครั้งอาจจะแรงกว่า การที่ไม่ถูกติดแคชด้วยซ้ำ อย่างหนึ่งก็อาจเป็นเพราะผู้ถือหุ้นของ A5 หลายคนเป็นระดับเซียน ซึ่งวางแผนในการดันราคตาหุ้นตัวนี้เอาไว้เป็นขั้นตอน มีทั้งแผนในการเก็บหุ้นและแผนในการเล่นรอบราคา รวมไปถึงแผนในการวางเกมประชาสัมพันธ์ โดยมีสื่อใหญ่ในวงการหุ้น และการเงินบางสำนัก ช่วยทำให้ทั้งเนื้อข่าวและอินโฟกราฟฟิก...เชียร์กันจนออกนอกหน้ากันเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะบอกว่า A5 เป็นหุ้นที่ไม่มีอะไรดีเลยก็ดูเหมือนเจ๊เมาธ์จะอคติกับหุ้นตัวนี้เกินไปหน่อย เพราะอย่างน้อยที่สุดหุ้นตัวนี้ ก็มีผลการดำเนินงานที่ถึงแม้จะปรับลดลงอย่างช้าๆ แต่ก็ยังถือว่ามีผลงานนั้นเอง
*** บอร์ดของ JMART ได้อนุมัติเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นจำนวน 352,941 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 30% จาก บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) เจ้าของ “สุกี้ ตี๋น้อย” จนมีคำถามว่าการลงทุนของ JMART ในครั้งนี้จะแพงไปหรือเปล่า เนื่องจากในปี 2564 พบว่า BNN มีสาขารวมทั้งหมด 42 สาขา ซึ่งแต่ละสาขามีวงเงินการลงทุนอยู่ที่ราวๆ 15 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ 630 ล้าน หรือ ถ้าจะตีมูลค่าให้ดูโอเวอร์มากกว่าความเป็นจริงโดยใส่ทั้งตัวโรงงาน ศูนย์กระจายสินค้า รวมไปถึงสินทรัพย์อื่นๆ รวมแล้วก็น่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 1,200 ล้านบาท คิดง่ายๆ ก็คือ JMART ตีมูลค่าของ BNN สูงกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันถึง 3 เท่า
โดยประเด็นสำคัญก็คือการที่ BNN จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต ในขณะที่ JMART ยอมควักเงิน 1,200 ล้าน ก่อนที่จะระดมทุนในตลาดฯ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการจ่ายแล้วจ่ายเลย...หรือจ่ายแล้วทอนกลับเพราะต้องการยืนยันว่า JMART ได้ตีมูลค่าของ BNN เอาไว้ถึง 4,000 ล้านบาท ประมาณว่าเป็นการ “ตีปลาหน้าไซ” บอกเลย...เกมการเงินแบบนี้ต้องเป็นระดับเซียนเงินหนาเท่านั้นถึงจะเล่นเกมยาวแบบนี้ได้
*** อุตส่าห์ดีใจว่าราคาหุ้นของ JKN จะก้าวข้ามราคา 5 บาท และราคาหุ้นจะได้ไปต่อ เพราะพึ่งจะผ่านสตอรี่การซื้อ MUO มาได้ไม่ถึงเดือน แต่ในท้ายที่สุดผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง เจ๊แอน “จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ก็ทำให้เจ๊เมาธ์แอบกลับไปคิดถึงเรื่องของหุ้นตัวโหดอย่าง BEAUTY ซึ่งครั้งหนึ่งราคาหุ้นเคยวิ่งไปได้สวยๆ แต่ในท้ายที่สุดผู้บริหารที่ชื่อว่าหมอวิน “นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ” ก็ขาย...และเล่นรอบราคาหุ้นของตัวเอง จนราคาหุ้นที่เคยอยู่สูงถึง 23-24 บาท ต้องปรับตัวลงมายืนอยู่ที่ราคาแค่บาทกว่าเท่านั้น เอาตรงๆ ก็คือ ทันทีที่รู้ว่ามีการแอบรินขายหุ้น JKN ออกมาเกือบ 10% เพื่อทำกำไรระยะสั้น มันทำให้เจ๊แอบหวั่นใจว่า “แอนจักรพงษ์” กำลังจะเดินตามรอยของ “หมอวิน” ด้วยการเดินเกมปั่นข่าวสร้างราคาแล้วก็ขายออก...ปั่นข่าวสร้างราคาแล้วก็ขายออก ตัวเองรวย...แต่ราคาหุ้นร่วง ส่วนคนซวยก็เป็นนักลงทุนที่ติดดอย เพราะหลงเชื่อมั่นในสตอรี่ที่ถูกสร้างขึ้นมา
บอกเลยว่าเรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร...ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เดินตามซ้ำรอยขึ้นมา บอกได้แค่ว่าต้องระวังเอาไว้...เจ๊เมาธ์ก็ทำได้แค่นี้เองค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,841 วันที่ 4 - 7 ธันวาคม พ.ศ. 2565