ประธานบอร์ด ก.ล.ต.แซด ปิด บล.เอเชียเวลท์ อันเป็นที่รัก?

26 ม.ค. 2566 | 20:15 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ม.ค. 2566 | 23:45 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่การนัดเคลียร์ใจของ “แอน จักรพงษ์” จักราจุฑาธิบดิ์ ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ JKN ที่ออกหมายเชิญสื่อมวลชนเข้าไปฟัง เพื่ออธิบายเรื่องเหตุของการขายหุ้นบิ๊กล็อตก่อนการประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,019.79 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 3 บาท มีอันต้องถูกยกเลิกกะทันหัน

ไม่รู้ว่าเป็นตามเหตุผลฟังดูขัดๆ มึนๆ ประมาณว่าขายหุ้นแพง...เพื่อเพิ่มทุนราคาถูก แล้วเป็นการช่วยบริษัทแบบที่แอน บอกไว้ว่า “ที่ขายหุ้นของตัวเองออกมาก็เพื่อนำเงินมาให้บริษัทใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ MUO โดยไม่คิดดอกเบี้ย โดยตนเองและครอบครัวพร้อมจะใช้สิทธิซื้อหุ้น RO อย่างเต็มที่ และขับเคลื่อน JKN ไปสู่เป้าหมายที่ได้วางไว้”แบบนั้นหรือไม่เจ๊เมาธ์ก็ไม่แน่ใจ

แต่เอาเป็นว่าล่าสุดก็มีข่าวออกมาอีกว่า JKN อาจจะทบทวนเรื่องการออกหุ้นเพิ่มทุนว่าจะขาย...หรือไม่ขาย กันแน่

ถ้าไม่ขายหุ้นเพิ่มทุน แล้วเงินที่บอกว่าจะเอาไปเสริมสภาพคล่องจะไปหามาจากไหน หรือถ้ายังมีสภาพคล่อง...ตอนแรกมาบอกว่าจะเพิ่มทุนทำไม

เฮ้อ เอาให้แน่นะแอน เธอกำลังงงอะไรอยู่หรือเปล่า...ตั้งหลักให้ดีแล้วค่อยพูด มาแบบนี้บอกเลยว่าเรื่องของการสะดุดขาตัวเองนี่มันจะทำให้ JKN มีส่วนคล้าย BEAUTY เข้าไปทุกที

ถึงตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าราคาหุ้นของ JKN อย่าได้เดิมตามรอย BEAUTY ไปจริงๆ ก็แล้วกัน

*** ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ต่อปี จากเดิม 1.25% เป็น 1.50% ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับลงมาแรงเริ่มขยับราคาขึ้นมาทันที เพราะในทุก 0.25% ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไป จะทำให้กำไรของธนาคาร โดยเฉพาะ BBL และ KTB เปลี่ยนแปลงราว 10%

ขณะที่ KBANK และ SCB มีโอกาสขยับขึ้นได้ 7-8% หมายความว่า การขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% นับตั้งแต่เดือน ก.ย. 65 เป็นต้นมา รวมทั้งหมด 3 ครั้ง คิดเป็น 0.75% จะส่งผลกระทบในเชิงบวกกับกำไรของธนาคารใหญ่ไปแล้ว 20% เป็นอย่างน้อย  

แม้ว่าก่อนหน้านี้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร จะปรับลงแรงหลังการแจ้งผลการดำเนินงานปี 65 ที่พบว่า กำไรของธนาคารใหญ่หลายแห่งชะลอตัว และส่งสัญญาณว่า ธนาคารอาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ในปี 66 

อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ไม่ค่อยสนใจที่จะให้ความสำคัญกับคำเตือนในลักษณะนี้มากนัก เนื่องจากเจ๊มีมุมมองที่ว่า “อะไรที่รู้ว่าจะเกิด...มักจะไม่เกิด หรือแม้ว่าถ้าเกิดขึ้นจริง แต่ก็จะไม่รุนแรง เพราะมีการวางมาตรการรองรับเอาไว้”

ยิ่งเมื่อรู้ว่า อานิสงส์ของการปรับขึ้นดอกเบี้ยรวม 3 ครั้งที่ผ่านมารวมถึงอีกหลายครั้ง ที่จะเกิดในอนาคตจะเห็นผลชัดเจนได้ในปี 66 ก็ยิ่งทำให้เจ๊เมาธ์มองว่า หุ้นธนาคารยังน่าสะสม แต่เมื่อรู้อยู่แล้วว่าจะไปได้ดี จากนี้ก็คงต้องดูกันที่หน้างาน และฝีมือว่าใครจะดักเก็บของถูกได้มากแค่ไหนเท่านั้นเองค่ะ
 

*** ข่าวความเคลื่อนไหวล่าสุดของ CBG คือ การเตรียมทุ่มงบลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาทเพื่อเปิดตัว “เบียร์” ที่คาดว่าจะกลายเป็นสินค้าเรือธงตัวใหม่ของกลุ่ม “คาราบาวแดง” เพื่อเตรียมวางขายทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 4/66 โดยเล็งชื่อเอาไว้ 2 ชื่อที่คาดว่าจะสรุปได้ในเร็วๆ นั่นก็คือ “เบียร์เยอรมันตะวันแดง” และ “เบียร์คาราบาว”

หากมองเข้าไปในธุรกิจของ CBG นอกจาก “เบียร์” ที่กำลังจะออกมา ก็จะเห็นได้ว่า มีสินค้าที่เป็นเครื่องดื่มเอาไว้ชนกับเจ้าตลาดเดิมอยู่ทุกประเภท เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟกระป๋อง สุรา สุราขาว น้ำดื่ม ซึ่งเหล่านี้ยังไม่นับรวมเอาสินค้าอื่นๆ อีกจำนวนมากที่ทาง “คาราบาวแดง” มีอยู่ประมาณว่า

ถึงแม้จะเข้าไปแทนที่ทั้งหมดไม่ได้...แต่แค่ได้แย่งส่วนแบ่งมาบ้างก็พอ เพราะเมื่อมีหลายอย่างรวมกันมูลค่ามันก็จะเยอะขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง 

เอาเป็นว่าในภาวการณ์แข่งขันในตลาดเสรีแบบนี้ถ้าไม่เล่นนอกกติกาก็ไม่มีคำว่า “ถูกหรือผิด” มีแค่คำว่า “ทำได้ดีกว่าก็เอาไป” จะสงสารก็แค่เหล่าบริษัทผู้ผลิตเหล้าเบียร์เจ้าเก่าที่มา “ตายน้ำตื้น” หลังจากพยามยามเข็นเอาธุรกิจ “น้ำเมา” เข้าตลาดหุ้นแทบตายแต่ก็เข้าไม่ได้
สุดท้าย...มันก็สู้การเอาบริษัทเข้าก่อนแล้วค่อยทำธุรกิจ “น้ำเมา” แบบที่ CBG ทำทีหลังไม่ได้ สบายกว่ากันเยอะเลย

*** หลังจากอุบัติเหตุ “ปืนลั่น” จนราคาหุ้น MORE ลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ 0.34 บาท แล้วออกอาการ “ศพกระตุก” ล่อนักลงทุนก่อนจะลงไปพักราคายาวที่ 0.38-.040 บาท นับตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค. 65 จนถึงปัจจุบันราคาก็ยังไปไหนได้ไม่ไกล

ขณะที่หุ้นตัวอื่นที่อยู่ในการดูแลของแก๊ง “เฮียและเพื่อน” ไม่ว่าจะเป็น COMAN TH รวมไปถึง GSC ต่างก็เริ่มขยับราคากลับไปอยู่ใกล้ที่เดิมกันแล้วทุกตัว จะเหลืออยู่ก็เพียงแค่ HEMP ที่อาจจะยังจุกอยู่บ้าง เพราะถือว่าเป็นสายตรง  

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ราคาหุ้นของ MORE จะฟื้นขึ้นมาได้เพื่อให้นักลงทุนที่ติดดอยมีโอกาสจะหายใจได้บ้าง ก็ยังพอมี ไม่ว่าเป็นการสาวไปถึงนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังต้นการทุบหุ้น การชดเชยค่าเสียหาย หรือมีความชัดเจนอื่นๆ

แต่จนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปถึง 2 เดือนแล้ว ก็ยังไม่เห็นมีอะไร ถ้าเป็นกันอยู่แบบนี้ก็คงได้แค่รอไปเรื่อยๆ รอ...และกระตุกเชือกบอกให้รู้ว่ามีคนคอยดูอยู่ก็เท่านั้นเอง

*** ไหนๆ เจ๊เมาธ์ ก็พูดถึงหุ้น MORE แล้ว จะขอสาวไส้อีกขด ไปถึง บอร์ด ก.ล.ต. ที่ตอนนี้ปีนเกลียวหนักมาก แบ่งข้างเชียร์ “รื่นวดี สุวรรณมงคล” เลขาธิการ ก.ล.ต.ที่กำลังจะเป็นอดีตในอีกไม่กี่เดือน นั่งเก้าอี้ต่อ

แต่อีกฟากหนึ่งตั้งป้อมคัดค้านอย่างหนัก เพราะดั๊นออกแรงหนัก จับมือลั่น คีย์ซื้อขายหุ้น MORE ให้อยู่หมัด หวังเอาเงินราว 4,300 ล้านบาท มาคืนโบรกเกอร์ให้ได้...เอาล่ะสิ !!!  ใครเสียหายกับหุ้น MORE และได้รับผลกระทบกับการสั่งปิด ไปจนถึงยึดใบอนุญาต บล.เอเชียเวลท์ ย่อมไม่ชอบขี้หน้า “รื่นวดี” เลขาก.ล.ต. คนปัจจุบันแน่นอน 

จุ๊ !!!! เมาท์กันให้แซ่ด แต่ไม่รู้ว่า ประธาน ก.ล.ต. “พิชิต อัคราทิตย์” ผู้ซึ่งมีอดีตแสนชื่นบาน เป็นถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชียเวลท์ ยุคแรกแย้ม จะรับทราบหรือไม่ว่า ทางก.ล.ต.ได้ตรวจสอบรายการ การเงินของบริษัทหลักทรัพย์ ในห้วงปี 2556-2557 พบว่า มีร่องรอยหลักฐานรายการเกี่ยวโยงกันบางประการ จากปล่อยกู้ราว 450 ล้านบาท ให้กับ บริษัท เอเชียเวลท์ โฮลดิ้งส์ ที่เป็นบริษัทแม่ของ เอเชียเวลท์

ว่ากันว่ารายการและการโอน การปล่อยกู้แบบนี้เป็นหลักฐานอยู่ในมือ ของ ก.ล.ต. และกลายเป็น 1 ในปมใหญ่ที่ ก.ล.ต.ลากไส้ออกมาเชือด บล.อย่างรวดเร็ว กรรมอันเกิดจากการกระทำในอดีต เป็น 1 ในเหตุผลให้ถูกปรับ ถูกสั่งปิด และถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์นั่นเอง ...จุ๊ ๆ รู้แล้วอย่าบอกใครนะคร้า…

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,857 วันที่ 29 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566