*** เห็นราคาของหุ้นกลุ่มตัวเจอย่าง JMART JMT และ SINGER ทำตัว “แรลลี่” ร่วงลงทุกวันจนนักลงทุนทั้งรายใหญ่รายย่อยที่หลงตัวไปยุ่ง ต่างก็ติดดอยจนหาทางลงไม่ได้ จะว่าก็ว่าเถอะ ถึงแม้เจ๊เมาธ์ไม่อยากพูดถึงเรื่องเดิมๆ แต่อะไรที่มันผิดปกติเราก็อดตั้งข้อสงสัยไม่ได้จริงๆ
อย่างแรกก็เป็นเพราะถึงขนาดที่ราคาหุ้นตระกูลเจ กลุ่มนี้ร่วงลงในวันเดียวตั้งเกือบ 10% และนับจาก 1 ปีย้อนหลังมา ราคารูดไปแล้วกว่า 200% คือ จาก 62.50 บาทต่อหุ้น เหลือไม่ถึง 20 บาทต่อหุ้น …กรุณาอย่าถามว่าใครขาย และหากดูย้อนหลังไป พวกนักวิเคราะห์ที่เคยพากันเชียร์ต่างก็พากันเอาสีข้างเข้าถู บอกว่าเป็นเพราะภาวะตลาดไม่เอื้อ แหมๆ ถ้าตลาดไม่เอื้อแล้วทำไม หุ้นกลุ่ม J จึงยับเยินกว่าหุ้นตัวอื่นๆ ล่ะคะ
อย่างที่สอง เป็นเพราะเรื่องของแนวโน้มผลการดำเนินงาน ที่กำไรปี 66 อาจปรับตัวลงมากถึง 26-27% ไม่ว่าจะเป็น JMART ตัวแม่ และ JMT รวมไปถึง SINGER ซึ่งเป็นหุ้นตัวลูก โดยในส่วนของ JMART ก่อนหน้านี้ ก็มีเรื่องของการเข้าไปลงทุนกับสุกี้ตี๋น้อยด้วยเงิน 1,200 ล้านบาท เพื่อแลกกับหุ้นเพียงแค่ 30% ซึ่งหลายคนบอกคุ้ม และหลายคนก็มองว่า “แพงเกินจริง!!” แบบ “ค้านสายตาประชาชน”
ท้ายที่สุดเป็นเรื่องเสียงซุบซิบนอกตลาดฯ ที่พูดกันหนาหูว่า ตลาดหุ้นขาลงแบบนี้ไม่เหมาะกับกลุ่มหุ้นที่ชอบสร้างสตอรี่ขายฝัน ขายแต่ข่าวจนอาจเป็นสาเหตุให้ราคาหุ้นประเภทนี้ อาจจะต้องกลับไปอยู่ในที่เดิมเพราะพื้นฐานจริงๆ ไม่เป็นไปตามเป้า
*** หันมามองหุ้น MASTER ...เจ๊เมาธ์แอบดีใจคิดว่าจะไปต่อ เมื่อเห็นราคาหุ้นขยับขึ้นไปทำราคานิวไฮครั้งใหม่ เฮ้อ...ที่ไหนได้พอขึ้นแรงก็ดันร่วงลงแรงไปซะแล้ว แต่หากจะบอกว่านี่มันคือ เกมราคาซึ่งสามารถปรับขึ้นและลงได้ตามกลไก และภาวะของตลาดก็ไม่ผิด เพราะถ้าจะว่ากันตามตรง หุ้นสถานเสริมความงามเช่น MASTER ถือว่าเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวโน้มของผลการดำเนินงาน ที่กำลังปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งที่ทำให้หุ้นตัวนี้น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นหุ้นที่น่าสนใจแบบนี้ จึงทำให้มีสารพัดเซียนหุ้นหลายรายที่หมุนเวียนเข้ามาเล่นรอบ ตอดเล็กตอดน้อยจนทำให้หุ้นพื้นฐานดีตัวนี้กลายเป็นหุ้นเล่นรอบเก็งกำไรแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ
ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดในการทำกำไรจากหุ้นในลักษณะนี้ จะต้องแก้เกมด้วยการถือยาวเป็นหลักเท่านั้น เพราะถ้าเงินน้อยและทุนไม่หนา งานนี้เจ๊เมาธ์บอกได้เลยว่ามีแต่เรื่องเจ็บตัวเท่านั้นที่รออยู่
*** ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า เพราะในช่วงเวลาไม่ถึงปีที่ผ่านมาราคาหุ้นที่เสี่ย “พิชญ์ โพธารามิก” เป็นผู้มีส่วนได้เสีย ไม่ว่าจะเป็น JAS JASIF หรือ MONO ต่างก็ปรับราคาร่วงลงมาแรง โดยเฉพาะทางด้านของ MONO กลายเป็นหุ้นตัวล่าสุดที่กำลังถูกจับตา ล่าสุดมีข่าวว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมกลุ่มสื่อในไตรมาส 1/66 ดูไม่ค่อยดี เนื่องจากเม็ดเงินโฆษณาที่หดตัว คาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 ของ MONO ซึ่งในปี 65 มีกำไร 69.33 ล้านบาท มีโอกาสพลิกเป็นขาดทุนได้
รวมไปถึงแรงสะเทือนที่เกิดจากความไม่แน่นอนของดีลขาย 3BB ให้กับ ADVANC ได้ส่งผลมาถึง MONO ผ่านทาง “พิชญ์” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ในสัดส่วน 57.7% ส่งผลให้ราคาหุ้นของ MONO อยู่ในภาวะที่มีอาการ “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” นักลงทุนต่างก็ไม่มั่นใจว่าราคาหุ้นจะมีทิศทางอย่างไร ดังนั้น ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบ รอไว้มีสัญญาณที่ดีน่าจะปลอดภัยมากกว่า...ดูกันไปเรื่อยๆ น่าจะดีที่สุด
*** ถ้าจะบอกว่าหุ้น ตระกูล ป. ที่เป็นตัวถ่วงหุ้นตัวอื่นมากที่สุดในตอนนี้คือ PTTGC ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะผลการดำเนินงานปี 65 ที่ออกมาขาดทุนถึง 8,752 ล้านบาท รวมไปถึงแนวโน้มของผลงานในไตรมาสที่ 1/66 ยังอาจจะไม่ฟื้นตัว เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นของ PTTGC ปรับตัวลงมาต่ำมาก จนทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่ง
แต่หากมองในอีกมุมก็จะเห็นว่า ยิ่งถ้าราคาหุ้นของ PTTGC ปรับลงมาแรงเท่าใด ความน่าสนใจของหุ้นตัวนี้ก็มีมากขึ้นตามไปด้วย อย่างแรก คือถึงแม้ว่าแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1/66 ที่แม้ว่าอาจจะดูไม่ดี แต่ก็มีนักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองว่า ช่วงไตรมาสที่ 2/66 ไปจนถึงกลางปีผลการดำเนินงานของ PTTGC ก็จะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้
อีกเรื่องก็เป็นเพราะโครงการที่ PTTGC ได้ลงทุนเอาไว้ เริ่มจะเห็นผลได้ในอนาคตอันใกล้ และหากถึงเวลานั้นก็เป็นไปได้ที่ผลกำไรของ PTTGC จะโตแบบก้าวกระโดด สำหรับเจ๊เมาธ์แล้วหุ้นอย่าง PTTGC เหมาะกับการแบ่งไม้เก็บไปเรื่อยๆ บอกได้แค่ว่าของดี...มันต้องใจเย็นๆ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,881 วันที่ 23 - 26 เมษายน พ.ศ. 2566