ในที่สุดสิ่งที่เรียกกันว่า “ต่ำแล้ว...ต่ำอีก” ก็ได้เกิดขึ้นกับ JMT หุ้นที่เจ๊เมาธ์บอกว่า ดีที่สุดในกลุ่มหุ้นตระกูล เจ. ที่ประกอบไปด้วย JMART JMT SINGER SGC และ J หลังจากราคาหุ้นตัวอื่นในกลุ่มที่นอกเหนือไปจาก JMT ต่างก็ได้มีโอกาสลงไปสัมผัสความรู้สึกในจุดที่ราคาหุ้นต่ำที่สุดในรอบปี หรือรอบหลายปีมาก่อนหน้านี้แล้ว
และรอบนี้ก็เป็นคราวของ JMT หุ้นในแก๊งตัวล่าสุด ที่ได้โอกาสมีราคาหุ้นต่ำที่สุดของตัวเองในรอบสองปีกว่า หลังจากที่เพื่อนในครอบครัวเดียวกันโดนไปแล้วครบทุกตัว ส่วนสาเหตุก็ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นข่าวซุบซิบที่บอกต่อกันมาในห้องค้าหลายแห่งว่า หุ้นตระกูล เจ. กำลังถูกจับตามอง
แต่ที่น่าจะมีน้ำหนักที่กดดันราคาหุ้นของ JMT มากที่สุด ก็น่าจะเป็นเพราะคำเตือนของนักวิเคราะห์จากบางสำนักที่บอกว่า JMT กำลังอยู่ในภาวะเก็บหนี้ได้ยากมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกหนี้ที่มีรายได้ระดับกลางถึงต่ำ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น จากการเปิดภาคเรียน และขาดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่มาจากภาครัฐแบบที่เคยมี
รวมไปถึงการที่เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบขาดตอน ในช่วงรัฐบาลรักษาการ ซึ่งก็สรุปง่ายๆ ว่าลูกหนี้ของ JMT กำลังอยู่ในภาวะหมุนเงินไม่ทันนั่นเอง ซึ่งผลกระทบจากการเก็บหนี้ไม่ได้จะถูกโยงไปถึงผลการดำเนินงาน 2/66 ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าน่าจะไม่ดีเท่าไหร่นักนั่นเอง ก็คงต้องรอดูผลการดำเนินงาน 2/66 ที่จะถูกประกาศออกมา ถ้าดีก็คงจะได้ไปต่อ...แต่ถ้าไม่ดีอย่างที่ควรก็อาจจะต้องหาจุดรับที่เหมาะสม ตามผลงานกันต่อไป เรื่องมันก็มีเท่านี้เอง
*** ราคาหุ้นไม่ว่าจะเป็นหุ้นโรงไฟฟ้าอย่าง GULF และ GPSC หรือหุ้นกลุ่มซีพี ที่มีทั้ง CPALL CPF และ TRUE รวมไปถึง ADVANC หรือแม้แต่ SC รวมไปถึง SIRI เริ่มมีการขยับตัว หลังจากทิศทางการเมืองเริ่มเปลี่ยน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหุ้นใหญ่ครอบคลุมหลายกิจการ โดยเฉพาะในส่วนของ “เสี่ยกลาง” สารัชถ์ รัตนาวะดี รวมไปถึงหุ้นใน เครือซีพี ที่ต่างก็เป็นหุ้นที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมของเจ๊เมาธ์ เจ๊กลับมองว่า ถึงแม้ทิศทางการเมืองจะยังไม่เปลี่ยน แต่หุ้นใหญ่ที่ถูกพูดถึงนี้ ก็ยังคงน่าสนใจมาก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะราคาหุ้นที่ปรับร่วงลงมาต่ำ จะอยู่ในจุดที่เข้าสะสมได้แล้ว
ขณะที่อีกส่วนเจ๊มองว่าเรื่องวาทะกรรมทางการเมือง ในขณะที่ยังไม่เข้าสู่อำนาจ เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็พูดเพื่อแสดงความเห็น หรือพูดให้ดูดีได้อยู่แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้ามาดูแลจริงๆ ผลกระทบที่จะต้องรับผิดชอบ รวมไปถึงข้อกฎหมายที่มี ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น และยิ่งบรรดาหุ้นที่ว่ามานี้ ล้วนแต่เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่ดีทั้งนั้น
ดังนั้น การที่จะเก็บหุ้นพื้นฐานดีในจังหวะที่แย่ๆ และถือยาวไปถึงการมีหุ้นพื้นฐานดีในจังหวะที่ดี มันจึงเป็นเรื่องที่สมควรเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ
*** หลังจากที่ บมจ. สยามแม็คโคร หรือ MAKRO เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บมจ. ซีพี แอ็กซ์ตร้า CPAXT ไปตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งเสริมให้หุ้นเดิมในชื่อใหม่ที่จำยากมากขึ้นตัวนี้ มีราคาที่กระเตื้องดีขึ้นมาเลย
แต่ในทางกลับกันแล้วราคาหุ้นของ CPAXT ก็ยังคงดิ่งถอยหลังลงคลอง จนราคาหุ้นปรับลงไปแตะจุดต่ำที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะจำนวนหุ้นที่มีมากขึ้น หลังจากการเพิ่มทุนทำให้หุ้นตัวนี้ ต้องแบกรับอะไรเอาไว้เยอะมาก จนผลการดำเนินงานโตไม่ทันจำนวนหุ้น
แต่อีกประเด็นหนึ่งก็อาจมาจากแรงกดดันทางการเมืองเพราะนอกจาก CPAXT จะเป็นหนึ่งในเครือซีพีที่ถูกกล่าวหา ว่ามีทุนใหญ่ครอบงำ อีกส่วนก็มาจากประเด็นของการควบรวมเอาธุรกิจห้างสรรพสินค้า MAKRO และ Lotus’s เข้ามาอยู่ในบริษัทเดียวกันนั่นเอง
แต่หากจะมองปัญหาของ CPAXT ในมุมของเจ๊เมาธ์...เจ๊ยังคงมองว่า เรื่องของผลการดำเนินงานที่ยังไม่ดีนัก รวมไปถึงมีโอกาสที่จะแย่ลงกว่าที่เป็นอยู่ น่าจะเป็นประเด็นหลักที่ทำให้ราคาหุ้นของ CPAXT ยังไปไหนไม่ได้ เอาเป็นว่ายังไม่ต้องรีบ...ข่าวว่าราคาหุ้นน่าจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับนี้ไปอีกจนถึงต้นไตรมาส 3/66 โน้นเลยทีเดียว ซึ่งถ้าจะคิดในมุมดีๆ ก็ถือซะว่า ตอนนี้ก็เป็นจังหวะให้ได้เก็บของถูกก็แล้วกันค่ะ
*** ราคาหุ้นของ PTG ลงมาอยู่ในจุดที่ราคาหุ้นต่ำ อย่างหนึ่งก็มาจากประเด็นเรื่องการลดภาษีสรรพสามิตดีเซลลงลิตรละ 5 บาท ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค.66 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราภาษีจะกลับสู่ระดับปกติ จนเป็นกังวลว่าจะกระทบถึงผลการดำเนินงานของบริษัท
อีกประเด็นหนึ่ง ก็ยังคงมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องการเมือง ที่ PTG จะถูกมองว่ากำลังตกเป็นเบี้ยล่าง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะไม่มีการต่ออายุการลดภาษีน้ำมันดีเซล แต่เจ๊เมาธ์ก็เชื่อว่า ปริมาณการบริโภคน้ำมัน อาจจะลดลงไปบ้างในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่จะไม่ส่งผลกระทบในระยะยาว
เช่นเดียวกัน ปัญหาในเรื่องทางการเมือง ก็เป็นแค่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบในทางจิตวิทยา ขณะที่ผลการดำเนินงาน 2/66 มีแนวโน้มการเติบโต เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเปิดประเทศท่องเที่ยว ก็พิจารณากันเอาดูนะเจ้าค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,905 วันที่ 16 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2566