*** แม้ว่า “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART จะออกมาให้ความมั่นใจว่า ไตรมาส 2/66 คือ จุดต่ำสุดของปี และคาดว่าผลงานจะพลิกกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 3/66 และไตรมาส 4/66 โดยจะมีทางด้านของ JMT ทำหน้าที่เป็นแกนหลักที่จะฉุดเอาผลการดำเนินงานของบริษัทตระกูลเจให้หลุดออกมาจากหล่ม แต่หากมองไปที่ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปีของหุ้นในกลุ่มตัวเจทั้งตระกูล
โดยแบ่งเป็นบริษัทที่มีกำไรและขาดทุน ก็จะพบว่าในฝั่งของกำไรมีเพียง JMT ที่มีกำไรครึ่งปีแรก 1,004 ล้านบาท และ J มีกำไรครึ่งปีแรกอยู่ที่ 5.86 ล้านบาท รวมกำไรของทั้งสองบริษัทก็มีอยู่แค่ 1,010 ล้านบาท ในขณะที่ในฝั่งขาดทุนก็จะมี JMART ที่ครึ่งปีแรกขาดทุนไป 906 ล้านบาท
ขณะที่ SIGER ครึ่งปีแรกขาดทุนไป 3,239 ล้านบาท ส่วน SGC ครึ่งปีแรกขาดทุนไป 2,286 ล้านบาท รวมทั้งสามบริษัท ขาดทุนรวมกันเท่ากับ 6,431 ล้านบาท และหากนับรวมผลการดำเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของตระกูลเจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น JMART JMT SINGER SGC และ J ก็พบว่า มีผลการดำเนินงานที่ยังขาดทุนรวมแล้วสูงถึง 5,421ล้านบาท
เห็นแบบนี้แล้ว เส้นทางที่หุ้นตระกลูเจจะสามารถพลิกฟื้นในแบบที่ “เสี่ยอดิศักดิ์” บอกว่าจะมี JMT จะทำหน้าที่เป็น “พระเอกขี่ม้าขาว” เข้ามาช่วยดึงผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มตระกูลเจ ให้หลุดออกมาจากหล่มของการขาดทุนได้ในช่วงครึ่งปีหลัง อาจเป็นไปได้ยากกว่าที่คิด เจ๊เมาธ์มองว่า ในภาวะแบบนี้อย่างมากที่สุด ก็คงทำได้แค่ขอให้หุ้นตระกูลเจ อย่าได้ขาดทุนไปมากกว่านี้ อย่าไปเขียนฝัน...ตั้งความหวังเอาไว้เกินความเป็นจริงเลยนะคะพ่อเจ้าประคู้ณ
*** ถึงตอนนี้แล้วดูเหมือนว่าหุ้น “ฝันดี” ที่ขายความฝันมานานอย่าง SABUY จะเริ่มนิ่งขึ้นมาแล้วหลังจากที่ราคาหุ้นลงมาตั้งฐานใหม่ที่ราคาแถวๆ 6-7 บาท ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะด้วยผลการดำเนินงานที่ในไตรมาส 2/66 มีรายได้รวม 2,572.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 179.6 ล้านบาท ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีกำไรรวม 346.5 ล้านบาท ส่วนอย่างที่สองก็น่าจะเป็นเพราะ ราคาหุ้นที่ปรับร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องกันปีกว่าๆ จากจุดสูงสุดที่ราคา 30 บาทมาเป็นราคา 6-7 บาท ในปัจจุบันโดยมีเหตุผลง่ายๆ ที่บอกแค่ว่าอะไรที่มันมากกว่าความเป็นจริง...สิ่งนั้นมักจะไม่ยั่งยืน
ส่วนที่มีแฟนคลับกระซิบถามหลังไมค์ว่า ราคาหุ้นของ SUBUY มีโอกาสจะกลับไปที่จุดสูงสุดแบบที่เคยเป็น หรือถ้าไม่ถึงจุดสูงสุด...เอาแค่ 15-20 ในแบบที่เป็นราคาหุ้นสูงที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์ได้หรือไม่นั้น เจ๊เมาธ์ก็คงต้องบอกไว้เลยว่าอาจจะได้ แต่ “ไม่ง่าย” ส่วนที่ถามว่า จะเข้าตอนนี้แล้วถือยาวได้หรือไม่ ก็ตอบเลยว่าได้เพียงแต่อาจจะยาวไปสักนิดเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าหุ้นแบบนี้เล่นรอบ...มีกำไรก็ขายน่าจะเหมาะสมแล้วค่ะ
*** DOHOME เคราะห์ซ้ำกรรมซัด กำไรลดลงต่อเนื่องมาโดยตลอด 4 ไตรมาส ติดต่อกัน ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว เจอสถานการณ์น้ำท่วมห้างที่อุบลฯ เสียหายหนัก โดยไตรมาสแรก ปี 66 มีกำไรออกมา 258 ล้านบาท ลดลง 43% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 459 ล้านบาท ล่าสุด ไตรมาส 2 ปี 66 เหลือกำไรแค่ 41 ล้านบาทเท่านั้น ลดลงมากถึง 87% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 326 ล้านบาท
โดยมีสาเหตุมาจากภาวะการเงินที่ตึงตัว จนทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่เป็นไปอย่างที่คิด ขณะเดียวกัน ความกังวลจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง ทำให้ให้ลูกค้าบางกลุ่มชะลอการซื้อสินค้าและการก่อสร้างลงไปด้วย
ส่วนถ้าจะมองไปถึงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นฤดูฝนเข้าสู่ช่วงโลซีซั่น ทำให้การซื้อสินค้าประเภทอุปกรณ์การก่อสร้างคงชะลอตัว จนอาจจะต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4 ปีนี้ ที่อาจจะวนลูปอยู่ในสถานการณ์แบบเดิมๆ นั่นก็คือ น้ำท่วมห้างที่สาขาอุบลฯ อีกครั้ง เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ...น้ำท่วมซ้ำซาก และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้น DOHOME ถดถอยมาโดยตลอด จากที่เคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 24 บาท ตอนนี้เหลือราคาเหลือแค่เลขหลักเดียว ซึ่งถ้าหากไตรมาส 3 กำไรชะลอตัว และไตรมาส 4 อาจเจอน้ำท่วมอีก ครั้งนี้ราคาหุ้นของ DOHOME คงจะดูไม่จืด...และโอกาสที่ราคาจะกลับไปเป็นเลข 2 หลัก น่าจะเป็นเรื่องยากแล้วเจ้าค่ะ
*** แม้ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/66 ของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง HANA KCE และ DELTA จะออกมาดีมากก็ตาม แต่ปัญหาที่ทำให้ราคาหุ้นของ DELTA มีแต่ที่ราคาหุ้นถอยหลังลงไปนั่นก็เป็นเพราะราคาหุ้นที่วิ่งล้ำหน้ารายได้มานานจนทำให้ไม่ว่า DELTA จะมีผลงานที่ดีแค่ไหนก็คงจะยังไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ราคาหุ้นที่เป็นอยู่เหมาะสมกับมูลค่าหุ้นที่นักวิเคราะห์ประเมิน
อย่างไรก็ตาม อะไรที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับหุ้นอย่าง DELTA ทุกอย่างที่ว่ามานั้น ต่างก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้น หุ้นตัวนี้จึงเป็นหนึ่งในหุ้นที่สบประมาทกันไม่ได้ง่ายๆ
ส่วนทางด้านตัวที่เหลืออีก 2 ตัว อย่างเช่น KCE และ HANA ยังคงเป็นหุ้นที่มีราคาหุ้นเคลื่อนที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า DELTA อยู่บ้าง เพียงแต่ถ้าอยากถือยาวก็ต้องเป็น KCE และ HANA แต่ถ้าชอบหุ้นซิ่งแบบมีทุนหนา ก็ยังคงเป็น DELTA น่าจะเหมาะสมกว่าก็เท่านั้นเอง
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,915 วันที่ 20 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2566