สยามประเทศมีพระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นเทวะในสัมมาทิฏฐิ ยึดในหลักแห่งธรรมทั้งปวงในการช่วยเหลือผู้คนแห่งเมือง
ในตำราเก่าโบราณเคยสอนเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาและมีความรู้ เพื่อให้ดูออกว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเป็นสายเทพเทวาหรือว่าสายอสูร ด้วยการดูรูปอัตตาลักษณ์และวิธีการบวงสรวง
ในสายของเทพเทวานั้น การบวงสรวงทั้งปวงแม้จะมีเครื่องบายศรีและมีอาหารคาวหวาน แต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นสิ่งที่ทำสุก ไม่ทำดิบ ทั้งหัวหมู, เนื้อหมู, ปลา, ไก่, กุ้ง ล้วนแล้วแต่ต้องเป็นของสุก และไม่เป็นของที่แปลกพิสดารที่มนุษย์ส่วนมากไม่นิยมบริโภค
สายอสูรนั้น มักจะชอบของคาวหรือสุกๆ ดิบๆ มีเลือดสดๆ ปะปนเป็นการแสดงออกถึงอำนาจแห่งการสะกดทางจิตวิญญาณกึ่งผีกึ่งมารจึงรวมความได้ว่าเป็นอสูร
"บายศรี คำว่าบายภาษาเขมร แปลว่าข้าว ที่เป็นศิริ บายศรีคือการถวายข้าวอันเป็นมงคล โบราณกาลได้กำหนดว่าบายศรีเป็นเขาพระสุเมรุที่สถิตของท้าวสักกะเทวราช จากนั้นจึงได้พับใบตองเป็น 3 กลีบคล้ายปีกแมงดาที่เป็นตัวแทนของเขาตรีกูฏรองรับเขาพระสุเมรุ แต่บายศรีที่ยุคหลังทำกันเป็นรูปพญานาค รูปครุฑ เป็นการทำในชั้นหลังๆ ที่ผิดเพี้ยนไปจากจารีตพิธีกรรม ยิ่งพวกสายอสูรวิธีการบวงสรวงไม่ควรนำเอาบายศรีเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น เพราะอสูรเป็นสายดำของต่ำ แม้จะเป็นอสูรสัมมาทิฏฐิก็ตาม"
พวกอสูรนั้น ใครไปกราบไปไหว้ ยิ่งไหว้ก็ยิ่งตกต่ำและโดนสะกด นานไปเภทภัยเรื่องร้ายจะวกกลับเข้ามาสู่ตน โดยไม่รู้ตัวเพราะความอัปมงคล
ที่ลือลั่นเป็นข่าวในตอนนี้ กับครูกายแก้ว ที่เป็นมีอัตตาลักษณ์ ที่เป็นอสูร โดยภาพรวมคล้ายหนูผี คือ กึ่งคนกึ่งค้างคาว มีการกล่าวอ้างประวัติที่มาด้วยว่า เป็นอาจารย์ของพระชัยวรมันที่ 7 อันนี้ต้องบอกว่าไม่มีหลักฐานเอกสารหรือหลักศิลาใดๆ จารจด เป็นแค่เรื่องเล่าแบบว่ากันว่า หรือ กุเรื่องขึ้นมาเอง เพราะพระชัยวรมันที่ 7 ปกครองขอมและนับถือพุทธศาสนา มิได้นับถือแบบสายดำของต่ำคุณไสยใดๆ
เราควรเข้าใจให้ชัดว่า ถ้าเป็นสายมูจริงต้องรู้ว่า ถ้าเป็นสัตว์ในหิมพานต์ ก็ต้องเป็นสัตว์ อาทิ อัสดรวิหก คชสีห์ มารีศ สกุณไกรสร แม้เป็นสัตว์แปลกๆ ก็เป็นสัตว์กับสัตว์มารวมกัน แต่ถ้าประเภทคนกับสัตว์มารวมกันแล้วลักษณะน่ากลัว มีที่มาแบบไม่ชัด ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งอุปโลกน์ขึ้นใหม่ หรือไม่ก็สายอสูร หรือ สายดำ
เคยมีคนให้ความเห็นว่า ทำไมเมื่อคราวจตุคามรามเทพที่เป็นเทพเทวะมา ทั้งที่คนไทยไม่เคยรู้จักและมีจริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ยังได้รับการยอมรับได้และมีการสร้างใหญ่โตเหมือนกัน สังคมก็ไม่ได้ว่าอะไร และยังยอมรับด้วย
เมื่อถามเรื่องนี้ ราชรามัญได้ให้ความเห็นว่า "องค์พ่อจตุคามรามเทพ" ในปี พ.ศ.2548 แม้วันนั้นจะเป็นเทพเทวะใหม่ แต่ได้รับการยอมรับก็เพราะว่า
1.มีที่มาชัดเจน เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของเมืองนครศรีธรรมราช
2.มีองค์จริงอยู่ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช
3.ผู้ที่เล่าเรื่องจตุคามรามเทพ เป็นปูชนียบุคคล ที่คนนครศรีธรรมราชยอมรับ มีเครดิต มีชื่อเสียง คือ ขุนพันธรักษ์ราชเดช
4.มีอานุภาพ ในด้านเศรษฐกิจ หรือ ความร่ำรวย
5.รูปอัตตาลักษณ์งดงาม น่าเคารพศรัทธา
อีกทั้งพิธีกรรมต่างๆ ในการบวงสรวง เชื่อมโยงกับพิธีเสาหลักเมืองของเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งถูกต้องตามโบราณกาล
สำหรับครูกายแก้ว มีที่มาไม่ชัดเจน อีกทั้งรูปอัตตาลักษณ์ดูน่ากลัวดุร้ายคล้ายอสูร มีคำร่ำลือกันว่า วิธีการบวงสรวงนั้นต้องใช้เลือดสดๆ หรือ กึ่งสุกกึ่งดิบ, หมา, แมว ได้หมด
ถ้าเป็นตามนี้จริง ไม่ควรไปยุ่ง ไม่ควรบูชาใดๆ เพราะเป็น สายดำของขอม ยิ่งไหว้จะยิ่งโดนสะกด จะทำให้เป็นอัปมงคลแก่เรา บุคคลที่นำเสนอเรื่องนี้ก็แค่กลุ่มคนเล็กๆ ที่เชื่อในเรื่องเทพผ่านร่างมนุษย์ หรือ คนทรง หาใช่บุคคลที่สังคมยอมรับไม่
ใครไปสักการบูชา ยิ่งอัปมงคล เพราะทางขอมเชื่อว่าเป็น ตัวแทนยมทูต ใครขออะไรได้แล้วถ้าบวงสรวงเขาไม่อิ่ม เขาจะกินตัวคือของเข้าตัวคนสักการบูชา