มีโลกออนไลน์วันนี้ เห็นมีผู้คนมากมาย ที่นำเสนอ Content เรื่องธรรมะ โดยเฉพาะในมุมของการปฏิบัติธรรม ทั้งพระทั้งโยม ต่างทำ Content กันมากมาย บางคนพูดถึงกระทั่งคำว่านิพพานในเชิง ประจักษ์ว่าตนเองนั้น นิพพานแล้ว แล้วก็ออกมา พูดสอน เป็น Content บ้างเป็นคอร์สการอบรมบ้าง ก็สุดแต่ใจจะไขว่คว้า
บางคนหนักกว่านั้น การนำเสนอ มีเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์เข้ามาร่วมด้วย แล้วถ้าใครไม่เชื่อ ก็อาจจะไปกล่าวหาเขาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ การที่ไปกล่าวหาเขาแบบนั้น ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทและถ้าคนบรรลุธรรมจริงใครที่ไม่เชื่อ เขาก็จะเฉยๆไม่มีการไปตอบโต้ หรือเป็นหมิ่นประมาทเขา
เพราะคำว่านิพพาน จริงๆมีความหมายคือดับสนิท เย็น ไม่เหลือ ในความคิดความรู้สึกเกี่ยวกับความต้องการทั้งปวง ตลอดทั้งเป็นบุคคลที่เข้าใจ ธรรมชาติทั้งหลายในทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ อย่างชัดเจน อย่างเข้าถึงนี่นิพพานเป็นแบบนี้
แต่เมื่อเห็นหลายคนออกมาพูดเรื่องนิพพานกันก็พาลทำให้คิดถึงท่านเจ้าคุณพุทธทาส ท่านเคยปรารภ คล้ายๆกับว่า ผู้ที่เข้าใจในเชิงประจักษ์ ผู้ที่เข้าถึง จะค่อนข้าง เป็นบุคคลที่ไม่มีปาก คำว่าไม่มีปากในที่นี้ ก็หมายความว่าไม่ประกาศบอกใครแม้ว่า บุคคลที่เป็นคฤหัสถ์สามารถทำได้ ไม่เหมือนพระภิกษุที่มีกฎข้อห้าม บุคคลที่เป็นคฤหัสถ์ก็ไม่พึงปรารถนา ที่จะพูดออกไปว่าตนสำเร็จหรือบรรลุธรรม เพราะไม่มีภาวะอะไรที่จะต้องพูดว่าอะไรเป็นอะไร เพราะมองเห็นตามความเป็นจริงแล้ว จึงเห็นแต่ละสิ่งว่าเป็นเช่นนั้นเอง
ดังนั้นคำว่านิพพาน ของจริงของแท้ ไม่ได้สัมผัสไม่ได้เข้าถึง ก็จะเกิดความรู้สึกแบบนี้แล้วก็ไม่พูดอะไรเลย เหมือนกับคนไม่มีปาก มองทุกอย่างให้เป็นโลกธาตุโลกธรรม มองทุกอย่างว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มองทุกอย่างว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มองทุกอย่าง ตามความเป็นจริง ที่ไม่ฝืนธรรมชาติทั้งปวง
แต่หากตราบใดที่ยังหลงแสงหลงฤทธิ์ ที่ยังต้องการ โอ้อวด เพื่อให้เกิดศรัทธา หรือต้องการผลลัพธ์ให้ผู้คนเข้าหา คำว่านิพพานสำหรับบุคคลเหล่านั้นยังห่างไกลยิ่ง ดังนั้นคำว่านิพพาน สำหรับในทางพุทธศาสนา หมายถึงบุคคลที่ สงบนิ่ง มีสติโดยรอบ ใช้ชีวิตเรียบง่าย และที่สำคัญไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง ทุกการกระทำของชีวิตจะอยู่ ในจุดที่เรียกว่าสมดุล
ดังนั้นถ้าใครได้ยินได้ฟังบุคคลที่ บอกว่าตนเข้าถึงนิพพาน ไม่กลับมาเกิดแล้ว ตลอดทั้ง ยังโอ้อวดเรื่องฤทธิ์ปาฏิหาริย์ จงพึงรู้เลยว่าบุคคลนั้น แท้จริงแล้วเป็นแค่เพียงตาลยอดด้วน หมายความว่าเป็นต้นตาล ที่ตายพราย ไม่สามารถออกใบออกผลใดๆได้อีกแล้ว โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา
บ่อยครั้งที่ผมพูดเสมอว่า ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งความสุข โดยการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทางความทุกข์ เพราะคำว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่การที่จะมาถึงความสุขอย่างยิ่งได้ ก็ต้องผ่าน การเรียนรู้การฝึกฝนปฏิบัติ แล้วยิ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ยึดติดรูปแบบไม่ยึดติดครูบาอาจารย์ไม่ยึดติดสำนักหรือวัดไม่ยึดติดวิธีการ แต่ยึดติดในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะในหมวดสติปัฏฐาน 4 บอกได้เลยว่า แนวทางนั้น เป็นแนวทางที่ตรง เป็นทางสายเอกเป็นทางหนึ่งเดียว ที่จะทำให้สามารถเข้าถึงธรรมชาติทั้งปวง ตามความเป็นจริงได้
ความสุขทั้งปวงคือสิ่งที่สำคัญ ความสุขทั้งปวง คือแรงบันดาลใจให้กับมนุษย์ความสุขทั้งปวงเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงปรารถนา และความสุขทั้งปวงที่ว่านี้รวมลงอยู่ในคำว่านิพพาน ความสุขที่เป็นความสุข โดยไม่เจือ กับสิ่งใดๆเลย ไม่ว่าสิ่งนั้น จะเป็นมุมบวกหรือมุมลบหรือภาวะเฉยๆ ก็จะไม่มีเจือปนในความสุขชนิดนั้น นั่นแหละ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้า อยากให้เราท่านทั้งหลาย ไปให้ถึง
นิพพาน เมื่อถึงกับผู้ใดแล้ว ผู้นั้นจะเป็นบุคคลที่ไม่มีปาก เป็นบุคคลที่นิ่งเงียบ และเผลอๆจะไม่พูดคำว่านิพพานด้วยซ้ำ หรือไม่แสดงออกทั้งทางตรงทางอ้อมใดๆทั้งสิ้น ว่าตนสัมผัสนิพพานแล้ว อยู่ในภาวะนิพพานแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว
แต่เมื่อใดที่ยังแสดงออกพูดทางตรงทางอ้อมพูดปรัชญาให้คิดให้ตีความไปทางด้านนั้นบอกได้เลยว่า ยังไม่ใช่ของแท้ แต่เมื่อไหร่ แม้มีปากเหมือนไม่มี นั่นแหละ คือ แก้วมณีเม็ดงาม ในดอกบัว ที่น่าชื่นชม
โอมมณี ปัทเม ฮุม