KEY
POINTS
"คนเรา เมื่อได้เจอบางสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรับรู้มาก่อน ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีความคิดความรู้สึก ว่าสิ่งนั้น ดีเลิศ ถูกต้อง ใช่เลย เพราะสิ่งที่ ตัวเองเคยรู้มาก่อนนั้นไม่เหมือนกับสิ่งที่เพิ่งได้รับความรู้มาใหม่นั่นเอง"
ประโยคนี้ สามารถบอกได้ว่าใช้ได้กับทุกบุคคล ใช้ได้กับทุกองค์ความรู้ เพราะมันเป็นอย่างนี้จริงๆ แม้แต่คนเราที่สนใจเรื่องธรรมะ แต่เดิมมีความรู้แค่เพียงเรื่องการสร้างทาน ทำบุญ รักษาศีล ก็ทำอย่างนั้นมานานหลายปี กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อมีใครมาพูด ถึงเรื่องของการนั่งภาวนา หรือนั่งกัมมัฏฐาน ในความคิดก็เริ่มจะมองเห็น ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดีเลิศ ใช่เลย ในความเป็นพุทธศาสนาแล้วก็เริ่มปฏิเสธสิ่งอื่นที่ตนเคยรับรู้มา ว่านั่นไม่ใช่ และไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับความเป็นพุทธศาสนา ปฏิเสธการทำบุญสร้างทาน ปฏิเสธเรื่องของการรักษาศีล เป็นต้น
อาการอย่างนี้ เขาเรียกว่า อาการ "คนหลงธรรม" ซึ่งสังคมในยุคนี้มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ มีให้เห็นอยู่มากมาย หลงไปหลงมาก็ยกหัวชูหางตัวเอง กลายเป็นคนที่เรียกตัวเองว่า "อาจารย์" เริ่มสร้างกลุ่มเริ่มสร้าง FC เริ่มสร้าง องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่เกิดจากประสบการณ์ของตนเองสอดแทรกเข้าไป ที่สุดก็กลายเป็นลัทธิ เป็นลัทธิแต่ยึดองค์ความรู้ ของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง
อาการของคนหลงธรรม มักปฏิเสธแนวคิดของผู้อื่น มักปฏิเสธกุศโลบายการปฏิบัติของผู้อื่น มักปฏิเสธสิ่งอื่นๆที่ไม่ตรงกับความรู้ความคิดของตัวเอง มักมีความคิดความรู้สึกว่า องค์ความรู้ของตนถูกที่สุดดีที่สุด และประเสริฐที่สุด ในที่สุดแล้วก็หลงลืมธรรมะทั้งหมดทั้งปวงออกไป ยึดแต่ธรรมะที่ตัวเองรู้และเข้าใจเป็นที่ตั้ง ดีไม่ดีอาจจะสบถ ธรรมะในรูปแบบอื่นๆ เสียจนสิ้น
อาการหลงธรรม เห็นพระรดน้ำมนต์ก็ผิด เห็นพระสวดศพก็ผิด เห็นพระนั่งทำพิธี เพื่อความเป็นสิริมงคลในรูปแบบต่างๆ ก็ผิด เห็นพระปลุกเสกยาสมุนไพรก็ผิด เห็นพระทำอะไรก็ผิดไปหมดนี่คืออาการของคนหลงธรรม ที่ปฏิเสธความเป็นธรรมชาติทั้งปวง ตลอดทั้ง ไปเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทแบบผิดๆ แต่คิดว่า การเกิดเรื่องต่างๆตามเหตุปัจจัยต้องเป็นแบบนี้ไม่ใช่แบบนั้น เป็นต้น
คนที่มาอาการหลงธรรม จึงน่าสมเพช เพราะใส่แว่นปรมัตถ์แบบผิดเลนส์แถมมองเพียงอย่างเดียว โดยไม่ยอม ใส่แว่น โลกียะ เพื่อมองทุกสรรพสิ่ง ให้เกิดเป็นภาวะหยินหยางคือความสมดุล เพราะทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่มีชั่ว เพียงส่วนเดียว ไม่มีดีเพียงส่วนเดียวทุกอย่าง ในขาวมีดำในดำมีขาว จึงเกิดภาวะความสมดุล บนโลกใบนี้
ต้นไม้ที่สวยงามหนึ่งต้น หาใช่มีแต่เพียงแก่นของต้นไม้ ถ้าเราพิจารณาดีๆ เราจะมองเห็นทั้งใบไม้ กิ่งไม้ เปลือกไม้ กระพี้ไม้ แก่นไม้ ระลึกลงไปในดินก็มีรากไม้ รวมทั้งหมดจึงเป็นต้นไม้ที่งดงาม ที่มนุษย์ทั้งหลายเพิ่งเห็นแล้วชื่นชม ร่มเย็นสบาย สงบ
แต่คนหลงธรรม นิยมแค่เพียงแก่นไม้ แต่ส่วนอื่นๆ ปฏิเสธ และมองว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญของต้นไม้ เป็นแค่สิ่งประดับของต้นไม้ ไม่ว่าจะใบเปลือก ดอกผล กระพี้
อาการหลงธรรม คือ ยึดเอาส่วนของปรมัตถธรรมเป็นที่ตั้ง ส่วนอื่นๆ ไม่เอา โดยลืมความเป็นจริงของโลกไปว่า ความสมดุลทั้งปวงต้องมีทั้งขาวและดำ เคยมีพระหลวงปู่หลวงตารูปหนึ่ง เป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คนในภาคอีสานอย่างมาก ความรู้ทางธรรม ที่ได้รับการการันตี จากสำนักนักเรียนนั้น ท่านไม่มีเลย เรื่องความเป็นมหาเปรียญ ไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้ความใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ท่านไม่เคยทำให้ใครเป็นทุกข์ เพราะตัวท่าน และก็ไม่เคยทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นปฏิปทาของท่านนั้น เวลาชาวบ้านหรือใครปรารถนาอะไร มาปรึกษากับท่าน ท่านมักจะกล่าวคำเดียวว่า "ดี"
นิมนต์หลวงปู่เจิมรถให้หน่อยดีไหม ท่านก็จะว่า ดี
ขอให้หลวงปู่รดน้ำมนต์ให้หน่อย ท่านก็จะว่า ดี
อยากมาฝึกนั่งภาวนากับหลวงปู่ดีไหม ท่านก็จะว่า ดี
อะไรๆ ก็ดีหมด เคยมีคนถามท่านว่า ทำไมหลวงปู่ถึงพูดแค่คำเดียวว่าดี เมื่อคนมาพบมาหามาปรึกษาหรืออยากจะให้ทำอะไร ท่านก็ได้พูดธรรมะออกมาว่า
"ใบเปลือกดอกกระพี้แก่นราก รวมแล้วเรียกว่าต้นไม้"
ต้นไม้แห่งธรรม ก็จะต้องรวม ในสิ่งเหล่านั้นอยู่ด้วย มิเช่นนั้นมันจะกลายเป็น แค่เพียงซากของต้นไม้ แต่ไม่ใช่ต้นไม้ ที่งดงามร่มรื่น
อาการหลงธรรม เป็นภาวะอันตราย และเมื่ออาการรุนแรงขึ้นจะกลายเป็นวิปัสสนูปกิเลส ทั้งตอนนั่งหลับตาและตอนลืมตา ไม่ต่างจากอุคหนิมิตที่นั่งหลับตาก็เห็น ลืมตายืนเดินนั่งนอนก็เห็น เพราะมันจำติดตา จำติดในภาวะแห่งจิตใต้สำนึกไปเสียแล้ว
คนหลงธรรม จึงเป็นเหมือนมะเร็งเนื้อร้าย ที่พร้อมจะทำลายพระพุทธศาสนา แบบชนิดที่ไม่รู้ตัว เพราะคำว่าศาสนา ย่อมประกอบไปด้วย ศาสดา สาวก คำสอนตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด รวมไปถึงจารีตประเพณี แห่งพิธีกรรม ของความเป็นศาสนานั้นๆ แต่ถ้าตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกไป ความเป็นศาสนานั้นๆ ก็จะไม่สมบูรณ์ ในความเป็นศาสนา
เมื่อความสมบูรณ์ของศาสนานั้นๆ เปลี่ยนไป ความเป็นศาสนานั้นๆ ก็ย่อมจะต้องไม่มั่นคง ไม่แข็งแรงอีกต่อไป เพราะต้องไม่ลืม ความเป็นจริงว่า มนุษย์เรา ต่างมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป มีองค์ความรู้ที่แตกต่างกันออกไปมีปัญญาที่แตกต่างกันออกไป เหมือนบัว 4 เหล่าที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบ บัวใต้น้ำ บัวกลางน้ำบัวปริ่มน้ำ และบัวพ้นน้ำ
และเชื่อหมดหัวใจว่า ผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์องค์เณร หรือฆราวาสธรรม ย่อมจะมีความเข้าใจ ในสิ่งทั้งปวงแห่งความเป็นธรรมชาติ ไม่ตัดตอนใดๆ ในเรื่องของความเป็นธรรมชาติ ออกทิ้งไป แต่จะสามารถอยู่ร่วมกับความเป็นธรรมชาติ นั้นๆ ได้อย่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว
ไม่มองหรือมีความรู้สึกว่า สิ่งนั้นถูกสิ่งนี้ผิด สิ่งนั้นใช่สิ่งนั้นไม่ใช่ พูดง่ายๆ ไม่มีความรู้สึกมองอะไรเป็นคู่ๆ อีกต่อไป จะมองทุกสิ่งอย่างเป็นสิ่งเดียวกัน ด้วยภาวะธรรมที่เรียกว่าดี และเป็นดีตามเหตุปัจจัยและสติปัญญาของแต่ละบุคคล
คนที่เข้าใจธรรมถึงธรรมจริงๆ เปรียบได้เหมือนคน เมื่อเห็นสีใดสีหนึ่ง ก็จะตอบเป็นสีนั้น เช่นเมื่อเห็นสีเขียว ก็จะตอบว่านั่น คือ สีเขียว แต่จะไม่ตอบว่า นั่นคือ สีเขียวหัวเป็ด เขียวใบตอง เขียวเสวย เขียวมรกต ซึ่งคำตอบแบบนี้ เป็นคำตอบของ ผู้ที่ยังไกลจากธรรมะแห่งธรรมชาติทั้งปวง
ผู้พูดมากไม่มุสา เป็นไม่มี.. เพราะมุสาฯนั้นประกอบด้วย การไม่โกหก ไม่ส่อเสียด ไม่หยาบขาด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่นินทา
ดังนั้นการที่สื่อสาร ด้วยธรรมชั้นสูง แต่วิธีสื่อสาร ยังมุสาฯอยู่ ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่า เขาคือแค่ผู้ที่ท่องจำจากตำรามานำเสนอต่อ แต่ไม่ใช่บุคคลที่พึงปฏิบัติธรรม อย่างจริงจังและเคร่งครัดในธรรม จะเป็นได้แค่คนหลงธรรม แต่การเป็นคนหลงธรรมนี้ก็ยังดี..
ดีกว่าที่ไปเป็น คนหลงอบายมุข