KEY
POINTS
ใครได้ศึกษาพุทธประวัติจากพุทธศาสนาในสายเถรวาท จะเห็นได้ว่ามีเรื่องของเทวนิยมเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่พระราชมารดา คือ พระนางสิริมหามายา ทรงพระสุบินตั้งแต่เริ่มตั้งพระครรภ์ตลอดกระทั่งประสูติเจ้าชายสิทธัตถะก็มีเทพเทวดาลงมาอภิบาลมากมาย หลายช่วงพระชนม์ของเจ้าชายสิทธัตถะยังไม่บรรลุธรรมกระทั่งบรรลุแล้วก็มีเทพเทวดามาอภิบาลอย่างต่อเนื่อง
ผู้ที่มีจิตใจใฝ่ในวิทยาศาสตร์ ต่างมองว่า นี่เป็นการเขียนแต่งใหม่ให้ไปในสายแฟนตาซีเหมือนนิทาน จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีเทพเทวดามาดูแลตลอดเวลา เคยสนทนากับฝรั่งคนหนึ่งที่สนใจพุทธศาสนาแล้วตั้งคำถามนี้ จึงได้ให้มุมึิดไปว่า "ทูตสวรรค์" (เทวดาในศาสนาของยุโรป อเมริกา)ก็มีอยู่คอยสนองงานรับใช้พระเจ้าทำไมจึงเชื่อล่ะว่ามีจริง เอาแค่เรื่องที่ว่ามีจริงไม่มีจริงก่อนรายละเอียดอย่างอื่นไม่ต้องสาธยายเดี่ยวจะลึก
เขาพยักหน้า... จึงสมทบไปอีกว่า มนุษย์เรามักเอาประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบัน มักนำเอาความรู้ในปัจจุบัน ไปเทียบ ไปเคียง กับเรื่องราวทางจิตวิญญาณ ขององค์ศาสดา
ดังนั้น คำตอบที่ได้จึงเกิดข้อสงสัย ไปต่างๆ นานา เพราะดูเหมือนว่าเกินเลยแห่งความเป็นจริง ที่มนุษย์หนึ่งคน จะเข้าถึงหรือสัมผัสได้
แต่นักศึกษาเหล่านั้น ก็ลืมไปว่าบุคคล ที่จะมาเป็นองค์ศาสดา ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม ย่อมมีความเป็นพิเศษ มากกว่ามนุษย์ปกติ สิ่งที่พิสูจน์ทราบง่ายๆ คำพูดของพวกเรา ที่สั่งสอนลูกหลาน อยู่ไม่เกิน 100 ปี ก็ดับหายสลายสิ้น แต่คำสอนขององค์ศาสดา ไม่ว่าพระองค์ใดศาสนาใด มักอยู่กันเป็นร้อยเป็นพันปี เพียงแค่นี้ก็มองเห็นแล้วซึ่งความต่างที่มนุษย์ปกติอย่างพวกเราไม่ควรจะไปสงสัยในเรื่องอื่นๆ
วัดป่านานาชาติที่อุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง ที่นั่นมีพระต่างประเทศ จำพรรษาอยู่ร่วมกัน หลายรูปคราวหนึ่ง ที่พระพรหมพัชรญาณมุนี (ฌอน ชยสาโร) เคยเป็นประธานสงฆ์ จำพรรษาที่นั่น ในฐานะผมเป็นคอลัมนิสต์นิตยสารโลกทิพย์เมื่อสามสิบปีก่อน ตอนไปสัมภาษณ์ เคยเรียนถามท่านว่า
นั่งปฏิบัติภาวนา ด้วยความเป็นพุทธเถรวาทที่นี่ เคยสัมผัสกับทูตสวรรค์ไหมหรือ เทพเทวดาไหม คราวแรกที่ถามท่านก็ยิ้มน้อยๆ มองด้วยความเมตตา แต่ว่าไม่ได้ตอบอะไร จึงกราบเรียนถามท่านอีก ท่านก็นิ่ง ครั้นคุยเรื่องอื่นแล้วผมก็วกมาถามอีก คำตอบที่ได้ก็คือ
"ก็มีอยู่บ้าง"
แค่ท่านไม่เล่าว่า เทพเทวดาอะไร มาในเรื่องใด ผมใช้หลักในการถาม ในการสนทนาธรรม ถ้าถาม 3 ครั้ง ไม่มีคำตอบก็ต้องหยุด แต่ทาง ผู้ปฏิบัติเอง เมื่อถูกถามถึง 3 ครั้งจึงตอบในเรื่องที่ไม่อยากตอบ เหมือนกับเป็น พุทธมารยาท เหมือนผู้ที่ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ถามปัญหาธรรม ถ้าถาม 3 ครั้ง ในคำถามที่พระองค์ไม่อยากตอบ ถ้าถามครั้งที่ 3 แล้วพระองค์จึงตอบ
เทพเทวดาในพุทธศาสนาเถรวาท ที่มีปรากฏพระนาม ออกจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้า และก็ปรากฏ ในพระสุตตันตปิฎก มีมากมาย แต่เท่าที่จับความขยายได้ เทพเทวดา ที่ทรงกล่าวบ่อย เอ่ยถึงท้าวสักกะเทวราช หรือที่เราเรียกกันว่าพระอินทร์ นอกจากนี้ ก็มีคำว่าพระพรหม ซึ่งในชั้นพรหมนั้นก็มีพระพรหมอยู่หลายองค์
ท้าวสหัมบดีพรหม คือ องค์พรหมที่มากราบอาราธนา ให้พระพุทธเจ้า ทรงเผยแผ่ธรรมประกาศธรรม โดยอาราธนาถึง 3 ครั้งด้วยกัน พระองค์จึงทรง รับอาราธนานิมนต์นั้น
แม้แต่สาวกของพระองค์เอง อาทิ พระสารีบุตร เมื่อครั้งก่อนนิพพาน ได้กลับไปเรือนแห่งตน เพื่อไปโปรดมารดา ก็ได้ไปจำวัดอยู่ใน ห้องที่ตนเองถือกำเนิด แล้วก็นั่งภาวนา จากนั้น มารดาก็แอบเห็น เดี๋ยวก็มีแสงวูบจากหน้าต่างเข้ามาในห้อง เดี๋ยวๆก็มีแสงวูบจากหน้าต่างเข้ามาห้อง ถึง 3-4 ครั้ง จึงถามพระสารีบุตรว่าแสงอะไร วูบวาบๆ พระสารีบุตรจึงบอกโยมมารดาไปว่าเทพเทวดา ท่านมาฟังธรรม มารดาก็ตกใจว่า พระสารีบุตรเป็นบุคคลสำคัญเพียงนี้เชียวหรอเทพเทวดาจึงได้ขอมาฟังธรรม จากนั้นมารดา จึงได้สงบใจและฟังธรรมจากพระสารีบุตร การเผยแพร่ธรรม ให้กับมารดาของพระสารีบุตรถือได้ว่าเป็นการ ตอบแทนพระคุณมารดา ด้วยความกตัญญู อย่างถูกต้องตามหลักพุทธศาสนายิ่ง
แม้แต่โยมในครั้งพุทธกาล อย่างนายสุทัตตะ มหาเศรษฐีแสนล้านโกฏิ (จำนวนนับ 10 ล้านเท่ากับ 1 โกฏิ) จำนวนเงินแสนล้านนี่หลายโกฏิมากมีชื่อเรียกจำเพาะ รวยมากหรือไม่มาก นายสุทัตตะ เอาทองคำปูที่พื้นดิน ในเขตเชตวันจนทั่ว แล้วขอซื้อเพื่อสร้างวัด ถวายพระพุทธเจ้า ด้วยพื้นที่อันกว้างใหญ่ กระทั่งเจ้าของที่ดิน ตกใจ แล้วร้องขอให้พอ แต่ขอให้มีชื่อของเจ้าของที่ดินร่วม เป็นชื่อวัดด้วย เพราะเจ้าของที่ดินนี้คือ เจ้าเชตแห่งราชวงศ์โกศล เมื่อนับเป็นมูลค่าของที่ดินเป็นเงิน นายสุทัตตะใช้เงินไปทั้งหมด 18 โกฏิ และวัดนี้มีนามว่า วัดเชตวันมหาวิหาร
นายสุทัตตะนี้ มีอีกนามว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี ประมาณว่าเป็นเศรษฐี ที่เป็นขวัญใจคนจน ว่าแจกโรงทานตลอดชีวิตไม่เคยหยุดให้คนยืมเงิน ได้คืนบ้างไม่ได้คืนบ้าง ก็ไม่เคยหยุด กระทั่งเทวดาประจำบ้าน โดดออกจากขื่อเสา มาหาแล้วตักเตือน ว่าควรจะหยุด เพราะเงินจะหมดแล้ว ไม่ต้องทำบุญทำทานอะไรมากนัก สุทัตตะ จึงไล่เทวดานี้ให้ออกไปอยู่นอกบ้าน เทวดากลัว ไม่มีที่สถิต ไปนอนอยู่ตามต้นไม้แย่งกับรุกขเทวดา ก็ถูกไล่ สุดท้ายไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เล่าความให้ฟัง พระพุทธเจ้าบอกให้ไปขอโทษ สุทัตตะ แล้วก็จะได้กลับไปอยู่ที่เดิม
สุทัตตะ รับคำขอโทษจากเทวดาแล้ว เพราะเทวดาอ้างว่าพระพุทธเจ้าให้มาขอโทษ จึงอนุญาตให้อยู่ดังเดิม แต่เทวดา ก็ขอทำหน้าที่ เป็น แบบบุคคลรับจ้างทวงหนี้ ไปทวงลูกหนี้ ของสุทัตตะทุกคนทุกบ้านให้รีบเอามาใช้หนีโดยไปทวงในฝัน ทำให้สุทัตตะมีเงินทำบุญตั้งโรงทานและดูแลพระพุทธศาสนาต่อไป
นายสุทัตตะ ไม่กลัวเทวดาเพราะเป็นผู้ทำบุญมาก แถมไล่ส่งด้วย เมื่อมีจิตเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ให้ทำบุญทำทาน
ดังนั้น เรื่องเทพเทวดาในพระพุทธศาสนาเถรวาท จะเห็นได้ว่าถ้า แม้เราเป็นคนธรรมดา และเป็นคนที่ใฝ่ในธรรมอันยิ่ง แม้จะไม่ได้บรรลุธรรมใดๆ เลย แต่จิตใจมีเจตนาเป็นกุศล ทำบุญอย่างต่อเนื่อง เทพเทวดาทั้งปวงก็ย่อมเกรงใจ ไม่กล้าคิดทำร้ายใดๆ ดังนั้น ถ้าเราคิดว่าเราดีพอ มีกุศลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการบำรุงพระศาสนา เรื่องเทพเทวดานั้นไม่ต้องกังวล จะมีคอยมาปกปักรักษาตนอยู่เสมอ
แม้ผมพอมีความรู้บ้างแบบงูๆปลาๆในพระพุทธศาสนา แต่ทุกครั้งที่ได้ทำบุญตักบาตรผมจะอุทิศกุศลให้ ท้าวสักกะเทวราชเป็นที่ตั้ง ท่านจะรับรู้ด้วยญาณทิพย์การใดก็ตาม ขอให้ท่านอนุโมทนา ทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ในคราวที่เดือดเนื้อร้อนใจ ระลึกถึงท่าน ก็ดูเหมือนว่า จะคล้ายคลื่นสู่ความ ราบรื่นได้อย่างอัศจรรย์
เพราะผมเชื่อว่าเทพเทวดาที่พระพุทธเจ้าเอ่ยพระนาม มากที่สุดบ่อยที่สุด คือ ท้าวสักกะเทวราชนั้นต้องมีอยู่จริง และครั้งหนึ่งเคยได้ยินได้ฟังจากพระภิกษุมหาเถร ที่งดงามในปฏิปทา เป็น สุปฏิปันโน แลเป็นสังฆปรินายก ทรงตรัสว่า
ที่นี่.. เชื่อว่าท้าวสักกะเทวราช ดำรงอยู่คู่พระพุทธศาสนาตลอดภัทรกัปป์
ผมจึงศรัทธาและเชื่อในเทพเทวดาในพระพุทธศาสนาเถรวาทยิ่ง ดังนั้นถ้าท่านใดมีธรรมแห่งทานบารมีเป็นที่ตั้ง ทุกครั้งที่สร้างกุศลทานบารมีขอให้ถวายท้าวสักกะเทวราช พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ที่ดูแลพระพุทธศาสนาด้วย ในยามทุกข์ร้อนการใดเมื่อระลึกถึงพระองค์ท่านก็จะพบเหตุแห่งมหัศจรรย์ได้ดี... ใครช่วยกัยเผยแผ่บทความนี้ความสุขความสงบในธรรมและการใช้ชีวิตจงปรากฏตามวาสนาบารมีของทุกท่านครับ