ด้วยความเข้าใจผิดของผู้ยึดติดในจารีตให้กลายเป็นความเชื่อที่ว่า ต้องนั่งสมาธิระลึกชาติได้ ต้องมีฤทธิ์ทางใจ ต้องกายระเบิดตูมในสมาธิ หรือ ต้องเห็นนรกสวรรค์จึงจะสามารถบรรลุธรรมได้ อันนี้เป็นความคิดความเชื่อที่ผิดทั้งสิ้น สิ่งที่กล่าวมาไม่จำเป็นต้องเห็นใดๆ เลยก็สามารถบรรลุธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้
บางสิ่งบางอย่าง ที่เป็นปรากฏการณ์ อันเกิดกับพระพุทธเจ้า ที่เราท่านอ่านตามพระไตรปิฎกนั้นเป็นเพราะว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านจะมาบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า บุคคลเหนือโลก เป็นบรมครูทั้งสามโลก ดังนั้นพระองค์จึงต้องมีประสบการณ์ในการฝึกฝนหลายรูปแบบ หลายวิธี อย่างเข้มข้นก่อนที่จะพบหนทางอันแท้จริงที่เป็นหนึ่งเดียว
แล้วพระองค์ก็ทรงชี้ว่าเส้นทางไหน ที่ปฏิบัติแล้ว นำไปสู่ความพ้นทุกข์ นำไปสู่ความดับทุกข์ได้จริง ดังนั้นเราท่านมีหน้าที่ เดินตามในสิ่งที่พระองค์ชี้ ที่เป็นสิ่ง อันถูกต้อง เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เราไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องไปเดิน ตามรอยพระพุทธองค์ทุกก้าว เพราะว่าพระพุทธองค์คือพระพุทธเจ้า มิใช่บุคคลธรรมดา และไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะไปตามรอยพระองค์ได้ทุกฝีพระบาทของพระองค์
การปรุงแต่ง ในความคิดในความรู้สึก เป็นการสร้างภพสร้างชาติ เป็นการสร้างกรรม อย่างต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็คือการหยุด ไม่ปรุงแต่ง ในความคิดในความรู้สึก ให้เป็นลูกโซ่ ขับเคลื่อนต่อๆ ไป ดังนั้นการที่จะไม่ปรุงแต่งในความคิดในความรู้สึกได้ เราต้องมีสติ และใช้สตินั้น ให้ เห็นความคิด ให้เห็นความรู้สึก ทุกครั้งที่เกิดความคิดความรู้สึกขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็สักแต่ว่าให้เกิดขึ้น ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อว่า ผิด หรือ ถูก หรือ ดี หรือไม่ดี นี่เป็นกระบวนการ สำหรับผู้ที่สนใจการปฏิบัติธรรม เพื่อการหลุดพ้นโดยไม่ยึดติดรูปแบบจารีตพิธีกรรม ใดๆ
คุณจะปฏิบัติใน คอนโด คุณจะปฏิบัติอยู่ในบ้านคุณจะปฏิบัติขณะขับรถ คุณจะปฏิบัติขณะทำงานในแต่ละวัน หรือคุณจะปฏิบัติขณะที่ กำลังจะนอนทุกขณะสามารถปฏิบัติได้ คุณจะนุ่งกางเกงยีนส์ คุณจะใส่เสื้อยืด คุณจะใส่สูทผูกไทด์ หรือ คุณจะใส่แค่ กางเกงขาสั้นธรรมดา การปฏิบัติธรรม ในกระบวนการนี้คุณสามารถปฏิบัติได้หมด ไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้อจำกัด เป็นอกาลิโก ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน
แต่สิ่งที่คุณต้องมีคือ มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกตัวนี้ จะทำให้คุณมีสติ และการมีสตินี้จะทำให้คุณ ไม่เข้าไปปรุงแต่งในความคิด ไม่เข้าไปปรุงแต่งในความรู้สึก แน่นอนผู้ฝึกใหม่ๆ อาจจะมีพลั้งเผลอบ้างไม่เป็นไร แต่เมื่อเราฝึก จนชำนาญ ติดต่อเป็นลูกโซ่ ไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ที่เผลอคิดเผลอรู้สึกโดย เผลอเข้าไปปรุงแต่ง สติจะเข้าไปตัด ทันที โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปบังคับ ใดๆ ทั้งสิ้น
ความรู้สึกตัวเป็นธรรมอันเอก ที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรง ตรัสอยู่บ่อยครั้งว่า รู้สึกตัวทั่วพร้อม นั่นหมายความว่า ทุกๆ อิริยาบถ ทุกการเคลื่อนไหวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ในฐานกาย เราต้องมีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ในฐานจิตก็เช่นเดียวกัน เราก็ต้องมีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันความคิดความรู้สึก เราฝึกได้อย่างจริงจัง ความทุกข์ทั้งหลายก็จะค่อยๆ เบาบาง และที่สำคัญเราจะเป็นคนที่มีสติ ค่อนข้างสมบูรณ์
อีกสิ่งที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมในลักษณะนี้ จะไม่ค่อยจดจำ อะไรที่ไม่ควรจดจำ ได้เองโดยอัตโนมัติ บางครั้งบางเรื่องที่เขาสนทนากัน เมื่อเราไม่สนใจก็ลอยลมไป เมื่อมีใครมาถาม หยุดทักว่า วันนั้นเราก็อยู่เราก็ได้ยิน เราก็ไม่อาจเป็นพยานให้ได้เพราะเราไม่ได้เก็บมาใส่ใจใดๆ เอาปล่อยผ่าน ไม่มีความรู้สึกเข้าไปจำ จึงทำให้ผู้ปฏิบัติธรรม ในลักษณะของการเห็นความคิดความรู้สึกนี้ โล่งโปร่งเบาสบาย จิตใจสงบ แบบมีสติ คอยอยู่ควบคู่ตลอด
ความคิดใดๆ กระทบเข้ามา เราก็มีสติ ไม่ต้องเข้าไปปรุงแต่งต่อ ความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นมา เราก็จงมีสติ แล้วเขาไม่ต้องเข้าไปปรุงแต่งต่อ ทำอย่างนี้ติดต่อกัน ทำแบบนี้จน เป็นอัตโนมัติกับชีวิต แล้วเฝ้าสังเกตความคิดความรู้สึกของตัวเอง ในระหว่างวัน ทุกโมงยาม เราจะรู้สึก เหมือนยกภูเขาออกจากอก เหมือนยกของหนักออกไปจากชีวิต เหมือนตัดสิ่งที่ร้อยรัดมาแสนนานได้ สิ่งใดที่เป็นความทุกข์ก็ น้อยลง น้อยลงเป็นลำดับ มีแต่ความจริงที่ปรากฏ
คือ ภาวะของการ เกิดขึ้นของความคิด การ ตั้งอยู่ของความคิด การดับไปของความคิด เราจะเห็นชัดหมด เข้าใจชัดหมด ในกระบวนการแท้จริงที่ธรรมะในธรรมชาตินี้ทำงาน
แต่การเห็นเพียงครั้งเดียว ดับเพียงครั้งเดียวผลลัพธ์ยังน้อย ถ้าเห็นต่อเนื่องเป็นอัตโนมัติเราจะยกมือขึ้นสาธุ ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเองด้วยตัวของเราแบบไม่ต้องมีใครมาแนะนำใดๆ เพราะเราเห็นจริงตามที่พระพุทธองค์สอนแล้ว เราทราบซึ่งในธรรมนั้นแล้ว และเราเข้าถึงคำนั้นแล้ว ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงเป็นธรรมชาติ ที่อยู่คู่กับโลกนี้นั่นเอง เพียงแค่พระพุทธองค์มาทำหน้าที่ค้นพบ หงายของที่คว่ำ ในความเป็นจริงของธรรมทั้งปวงนั้นๆ