***คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3855 ระหว่างวันที่ 22-25 ม.ค. 2566 โดย “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** “ส่วนตัวอิ๊งเองพร้อมนะคะ เพราะเราลงมาจุดนี้ อยากให้พรรคแลนด์สไลด์ เพื่อนำนโยบายที่สัญญากับประชาชนไว้ทำให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ แต่เป้าหมายของอิ๊ง คือ นโยบายที่จะผลักดันให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น ถ้าพรรคมีคนที่เหมาะสมกว่าอิ๊งก็พร้อมถอยเหมือนกัน ยังอยู่ในส่วนการทำนโยบาย อยู่ในส่วนการคุยกับประชาชน ผลักดันให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิตของประชาชน อันนั้นคือเป้าหมายหลัก” นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เมื่อถูกสื่อมวลชนถามว่า ส่วนตัวพร้อมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ในโอกาสที่พรรคเพื่อไทย จัดปราศรัยใหญ่ "อีสานยามใด๋ เพื่อไทยทอนั่น" เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ม.ค.2566 ที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี นับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนครั้งแรกว่า เธอพร้อมเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในการหาเสียงเลือกตั้ง และพร้อมเป็น “นายกฯ คนที่ 30” ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ คนที่ 29
*** อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ยังปราศรัยอ้อนชาวอุดรธานี ด้วยประโยคเด็ดที่ว่า “อยากให้กลับไปบอกคนที่ไม่ได้มาวันนี้ว่า เพื่อไทยมาแล้ว มาเพื่อบอกว่าเรามาสร้างความฝัน มาเพื่อสร้างความหวัง และต้องไม่ใช่แค่ความฝันแต่ต้องเป็นความจริง เอาลุงกลับไป เพื่อไทยมาแล้ว เอาลุงกลับไปเลี้ยงหลาน ลุงโทนี่จะได้กลับมาเลี้ยงหลานบ้าง รับเงินหมา กาเพื่อไทย ขอให้ชาวอุดรฯ เลือกทั้งคน และพรรคทั้ง 9 เขต" พร้อมกับย้ำบนเวทีปราศรัยว่า ขออาสาแก้ไขปัญหาทั้งน้ำท่วม และน้ำแล้ง แม้จะใช้เงินเยอะแต่เราก็ต้องทำ คนไทยต้องมีเกียรติและศักดิ์ศรี ให้มีค่าแรง 600 บาท ค่าแรงเพื่อไทย ทำได้จริง 600 บาท ไม่ไกลเกินจริง เพราะเคยทำ 300 บาทมาแล้ว ภายในปี 2570 ค่าแรง 600 บาททำได้แน่นอน เมื่อช่วงเช้าไปรับฟังปัญหาชาวสวนยางมา เราเข้าใจปัญหามากๆ แต่ขอให้พี่น้องประชาชนอดทนรอวันที่ เพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล
*** ภายหลังจากที่ “อุ๊งอิ๊ง” ประกาศตัวชัดเจนว่าต้องการชิงเก้าอี้นายกฯ คนที่ 30 ถัดมาเพียง 2 วัน คือ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ก็ออกมาประกาศตัวพร้อมเป็นนายกฯ คนต่อไปเช่นกัน “ก็เลือกมาดิ ถ้าเลือกได้ก็เป็น ถ้าประชาชนเลือกได้ให้ผมเป็น ผมก็เป็น” พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อถูกถามว่าพร้อมที่จะเป็นนายกฯ คนที่ 30 หรือไม่ ผู้สื่อข่าวจึงถามอีกว่าพร้อมจับมือกับทุกพรรคการเมืองใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ตอบว่า “เราก้าวข้ามความขัดแย้ง ผมไม่ได้บอกว่าผมจะจับมือกับใครเลย ทุกพรรคเรามาคุยกันได้ เปิดโอกาสให้คุยกันได้”
*** การประกาศตัวพร้อมเป็นนายกฯ คนที่ 30 ของ “ลุงป้อม” มาพร้อมกับการเปิดตัวนโยบาย “ประชานิยม” ที่พรรคพลังประชารัฐ เตรียมไว้หาเสียง จำนวน 104 นโยบาย ครอบคลุม 16 ด้าน โดยนโยบายที่เป็นไฮไลท์สำคัญคือ "บัตรประชารัฐ" เพิ่มเงิน-เพิ่มสวัสดิการ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาท ต่อเดือน เป็นการสานต่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับประชาชนไปใช้จ่ายในครัวเรือน เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ในการเป็นค่าโดยสารรถสาธารณะ ค่าสาธารณูปโภค ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้า และ น้ำประปา โดยพร้อมเริ่มมีผลทันทีหลังจากที่ “พลังประชารัฐ” เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้เพิ่มวงเงินในบัตรประชารัฐ นำมาจากงบประมาณในช่วง 3 เดือนสุดท้าย ของงบประมาณปี 2566 หากมีผู้ได้รับสิทธิ์ประมาณ 18 ล้านคน คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณ เดือนละ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือ ปีละ 1.5 แสนล้านบาท
*** นอกจาก “อุ๊งอิ๊ง” และ “ลุงป้อม” ที่ประกาศตัวชิงเก้าอี้นายกฯ คนต่อไปแล้ว ย้อนไปก่อนหน้านั้น ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ คนที่ 29 ก็ได้เปิดตัวเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และพร้อมรักษาเก้าอี้นายกฯ คนที่ 29 เป็นสมัยที่ 3 เช่นกัน “วันนี้ที่มายืนตรงนี้ เพราะผมเคารพในกระบวนการประชาธิปไตยของประเทศไทย ไม่ได้มาเพราะอยากอยู่ต่อ แต่อยากพูดกับทุกคนว่า ประเทศไทยต้องไปต่อ บนพื้นฐาน ความมีศักยภาพ ความมั่นคง เพื่อเดินหน้าสู่การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ตลอดจนการพัฒนาประเทศ วันนี้ถ้ารวมใจ รวมคนไทย รวมไทยสร้างชาติ ทุกอย่างเราแก้ได้แน่" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดใจภายหลังการสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ แบบตลอดชีพ เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2566
*** “ย้อนไปตั้งแต่ปี 2562 เราเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่มีงานของเราที่ทำไม่จบ ผมจึงจำเป็นก้าวมาสู่ตรงนี้ หลายอย่างต้องทำต่อ ทำใหม่ ทำเพิ่ม ทำอย่างไรให้เดินหน้าไปให้ได้ และในเมื่อตัดสินใจทางการเมืองร่วมกับพรรคนี้ หวังว่ามีโอกาสทำเรื่องต่างๆ ได้ …ดังนั้นงานที่ผมจำเป็นต้องทำต่อ จำเป็นต้องมายืนตรงนี้ ประเทศไทยไม่ใช่ของใคร แต่เป็นของพวกเราทุกคน เราทุกคนถึงต้องมายืนตรงนี้ในนาม รวมไทยสร้างชาติ เป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจมายืนตรงนี้ แม้เหนื่อยเครียดก็พยายามอดทน เพื่อทำสิ่งที่ดีกว่า แต่ไม่ใช่ผมพูดแล้วจะได้เลย ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เสียงของประชาชนตัดสินใจ” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
*** “อุ๊งอิ๊ง-ลุงป้อม” ประกาศตัวชัดเจน “ท้าชิง” เก้าอี้นายกฯ คนต่อไป กับ “ลุงตู่” ซึ่งแนวโน้มคนที่จะได้เดินเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ ก็คงอยู่ที่ 3 คนนี้ ถ้าเปรียบมวย “ลุงป้อม-ลุงตู่” จะเสียเปรียบ “อุ๊งอิ๊ง” ในเรื่องจำนวนส.ส. ที่คาดว่าพรรคเพื่อไทย จะได้ส.ส.ทั้ง 2 ระบบราว 200 ที่นั่ง แต่เป้าหมายของพรรค คือ 250 ที่นั่ง หรือครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อไทยจะ “แลนด์สไลด์”ทั้งแผ่นดินหรือไม่ แต่ “อุ๊งอิ๊ง” ไม่มี ส.ว.คอยเป็นกองหนุนในการโหวตเลือกนายกฯ ในสภา ซึ่งต้องไปรวบรวมเสียงส.ส.+ส.ว.ให้ได้เกิน 376 เสียง ถึงจะคว้าเก้าอี้นายกฯ ได้ ตรงนี้คือข้อเสียเปรียบ
*** ทีนี้ไปดูในส่วนของ “ลุงป้อม” ผู้นำพรรคพลังประชารัฐ ที่ตั้งเป้า ส.ส.ไว้ที่ 100 ที่นั่ง ก็อาจจะได้ตามเป้าหมาย แล้วไปรวบเสียงพรรคอื่น + กับส.ว.สายลุงป้อม ให้ได้ 376 เสียงขึ้นไป ถึงจะโหวตได้เก้าอี้นายกฯ ไป ส่วน “ลุงตู่” ดูจะเหนื่อยหน่อย เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคใหม่ ณ ตอนนี้ยังไม่เห็นส.ส.ระดับ “เกรดเอ” ที่จะทำให้พรรคกวาดเก้าอี้ส.ส.แบบเป็นกอบเป็นกำ ทั้งยังต้องไปลุ้นว่า จะได้ส.ส.ถึง 25 ที่นั่ง เพื่อเพียงพอต่อการมีสิทธิ์เสนอชื่อโหวตชิงนายกฯ ในสภาหรือไม่ “ลุงตู่” จะเสียเปรียบจำนวนส.ส.ที่จะได้จากการเลือกตั้ง แต่ได้เปรียบตรงที่มี “ส.ว.” เป็นกองหนุนเยอะ ...หลังรู้ผลการเลือกตั้งไม่เกินวันที่ 7 พ.ค.66 ก็จะได้รู้กันว่า ใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไป