‘แมริออท’ซินเนอร์ยี‘สตาร์วูด’ ต่อจิ๊กซอว์ 30 แบรนด์โรงแรมเชนใหญ่สุดในโลก

02 ต.ค. 2559 | 09:00 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ต.ค. 2559 | 11:42 น.
ในที่สุด แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ก็ปิดดีลการควบรวมกิจการกับสตาร์วูด โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เวิลด์ไวด์ ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2559 ขึ้นแท่นเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนห้องพักมากกว่า 1.1 ล้านห้อง การควบรวมกิจการที่เกิดขึ้น จะมีผลอย่างไรต่อพนักงาน ลูกค้าที่ใช้บริการ และเจ้าของธุรกิจที่อยู่ภายใต้แบรนด์โรงแรมต่างๆ ของทั้ง 2 เชนระดับโลกนี้ อ่านได้จากสัมภาษณ์ นายรีแกน ไตรกฤษดาพร ประธานฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิก

 ชู 30 แบรนด์รร.ในพอร์ตโฟลิโอ

"แมริออท สนใจที่จะซื้อหุ้นของสตาร์วูด และประกาศเรื่องนี้มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งทั้ง 2 บริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก แต่ด้วยความที่เป็นดีลใหญ่ระดับโลก จึงผ่านกระบวนการที่ต้องได้รับการอนุมัติ จากประเทศหลักๆว่าด้วยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการผูกขาด โดยที่ผ่านมาก็ได้รับการอนุมัติให้ควบรวมกิจการได้ จากหลายประเทศ อาทิ สหภาพยุโรป แคนาดา เม็กซิโกซาอุดิอาระเบีย และประเทศสุดท้ายคือ จีน ซึ่งเมื่อทางการจีนอนุญาต ก็ทำให้การควบรวมกิจการของทั้ง 2 เชนนี้ได้สำเร็จ" นายรีแกน กล่าว

การควบรวมกิจการที่เกิดขึ้น แมริออทได้เข้าไปซื้อแบรนด์ต่างๆรวมถึงสัญญาการรับบริหารโรงแรมต่างๆของสตาร์วูด เข้ามารวมอยู่ในพอร์ตโฟลิโอของแมริออท ซึ่งทำให้ปัจจุบันแมริออท มีแบรนด์บริหารโรงแรมระดับกลางถึงระดับหรูหรา เพิ่มเป็น 30 แบรนด์ มีโรงแรมในเครือรวมกันกว่า 5,700 แห่ง และห้องพักมากกว่า 1.1 ล้านห้อง ในกว่า 110 ประเทศทั่วโลก

การที่แมริออท มีความสนใจในสตาร์วูด ไม่ใช่เพียงมองว่าเป็นคู่แข่ง แต่สตาร์วูด มีข้อดีหลายอย่าง โดยเฉพาะจุดเด่นในเอเชีย ที่มีจำนวนโรงแรมในเอเชีย มากกว่าเชนแมริออท และสตาร์วูด ยังมีแบรนด์โรงแรมที่เข้มแข็งในบางเซ็กเมนต์ที่แมริออท ยังไม่มี เช่น แบรนด์ดับเบิล ยู โฮเทลส์ ของสตาร์วูด ที่เป็นแบรนด์โรงแรมที่มีสีสัน วัยรุ่นจะชอบ เป็นต้น ดังนั้นข้อดีของการควบรวมกิจการ คือ การซินเนอร์ยี ซึ่งจะทำให้เกิดการรวมจุดเด่นของทั้ง 2 บริษัทไว้ด้วยกัน และที่สำคัญคือการรวมจำนวนโรงแรมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตภายใต้การบริหารของทั้ง 2 เชน มารวมอยู่ในเครือแมริออท ที่ทั่วโลกคาดว่าจะเกิน 3 แสนห้องขึ้นไป เฉพาะในเอเชีย อยู่ที่ราว 1.2 แสนห้อง

นั่นหมายถึงนับจากนี้แมริออท จะมีที่พักที่ครอบคลุมหลากหลายแบรนด์ ไปจนถึงแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ครอบคลุมทุกมุมโลก เช่น ลักชัวรี แบรนด์ เดิมแมริออท มี แบรนด์ริทซ์-คาร์ลตัล ขณะนี้ ก็จะมีแบรนด์เซนต์ รีจิส ของสตาร์วูดเข้ามารวม เป็นต้น ด้วยความที่มีมากถึง 30 แบรนด์โรงแรม ทำให้แมริออท มีตัวเลือกที่หลากหลายทั่วโลกสำหรับรองรับลูกค้าที่มีความต้องการในการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อน

ทั้งนี้ในจำนวน 30 แบรนด์โรงแรมที่มีอยู่ทั่วโลกนั้น ในประเทศไทยปัจจุบันมี 14 แบรนด์ ได้แก่ เจดับบลิว แมริออท, แมริออท โฮเทลส์, เรเนซองส์, คอร์ทยาร์ด บาย แมริออท, แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเม้นท์, ริทซ์-คาร์ลตัล รีเสิร์ฟ, เซนต์ รีจิส, ลักชัวรี คอลเลคชั่น, ดับเบิลยู โฮเทลส์,เลอ เมอริเดียน, เวสทิน,เชอราตัน,อลอฟ และโฟร์พ้อยท์ บาย เชอราตัน

 รวม 3 ลอยัลตีโปรแกรม

เขา ย้ำว่า การควบรวมกิจการนี้ ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะยังคงได้รับประสบการณ์ที่ดีเหมือนเดิม สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา คือ มีตัวเลือกในการเข้าพักที่เพิ่มขึ้นจากแบรนด์ต่างๆ ที่หลากหลายขึ้น ขณะเดียวกันยังจะได้รับประโยชน์ที่มากขึ้น เพราะจะมีการรวมโปรแกรมลอยัลตี ของทั้ง 3 โปรแกรมมาเชื่อมกัน ได้แก่ แมริออท รีวอร์ด ,ริทซ์-คาร์ลตันรีวอร์ด และสตาร์วูด พรีเฟอร์ เกสท์ (SPG) ที่รวมกันมีสมาชิกกว่า 85 ล้านสมาชิก ซึ่งจะทำให้สมาชิกทุกคน สามารถสะสมคะแนน หรือใช้คะแนนเข้าพักโรงแรมอื่นๆในเครือแมริออทได้ทั่วโลก แตกต่างจากแต่ก่อนที่ลูกค้าอาจเข้าพักได้ในโรงแรมของแต่ละเชน ที่บางเมืองก็ไม่มีโรงแรมของเชนนั้นๆ เปิดให้บริการ

ในแง่ของพนักงาน ปัจจุบัน แมริออท เรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานนั้น มีทั่วโลกกว่า 5 แสนคน และในไทยกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลคาดว่าจะเกิน 4,000 คน ซึ่งเราไม่มีนโยบายเรื่องการปลดออกแน่นอน เพราะทุกคนก็ยังต้องทำงานในโรงแรมนั้นๆอยู่ เพราะแมริออท ซื้อแบรนด์และสัญญารับบริหารโรงแรมต่างๆมาจากสตาร์วูด ซึ่งแบรนด์โรงแรมต่างๆ ก็ยังคงอยู่ต่อไป เราไม่มีนโยบายเข้าไปปรับเปลี่ยนอะไรในแบรนด์ต่างๆ และไม่มีนโยบายเลิกจ้างพนักงาน ซึ่งเพื่อนร่วมงานที่ทำงานกับสตาร์วูดไม่ต้องกังวลใจในเรื่องนี้ เพียงแต่ต่อไปคำว่าสตาร์วูดก็จะค่อยๆหายไป ซึ่งก็ไม่ได้มีผลอะไร เพราะลูกค้าจะรู้จักและคุ้นชินกับชื่อของแบรนด์โรงแรมต่างๆเป็นหลักมากกว่าอยู่แล้ว อีกทั้งเครือแมริออท ยังมีโรงแรมที่กำลังจะเปิดให้บริการในอนาคตอีกหลายแห่ง ซึ่งก็จะเป็นโอกาสในการเติบโตด้านอาชีพการงาน ที่จะเพิ่มโอกาสในการโอนย้าย เพื่อจะก้าวหน้าในการทำงานได้มากขึ้น

 19 โรงแรมใหม่จ่อเปิดในไทย

ขณะที่ในแง่ของเจ้าของโรงแรม ที่ใช้แบรนด์ต่างๆของสตาร์วูด สัญญาต่างๆก็เป็นไปตามเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา คือ เจ้าของโรงแรมต่างๆ จะมีลูกค้ามาใช้บริการได้มากขึ้น จากการนำทีมเซลล์ที่มาร่วมกัน ทำให้เจาะตลาดได้ลึกและกว้างขึ้น รวมไปถึงยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในธุรกิจโรงแรมลงได้มาก เพราะการควบรวมกิจการ ทำให้การจัดซื้อต่างๆมีสเกลที่ใหญ่ขึ้น ก็ทำให้การจัดซื้อได้ถูกลง ทั้งยังสร้างมูลค่าเพิ่มในการขายงาน เช่น ในเมืองนอก การจะดึงตลาดไมซ์ขนาดใหญ่เข้าไป จะต้องมีโรงแรมขนาด 3,000 ห้อง เพื่อรองรับ แต่ในไทยโรงแรมที่มีห้องพักที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่ 1,300 ห้อง คือ โรงแรมแบ็งคอก แมริออท มาร์คีส ควีนส์ปาร์ค ที่กำลังจะเปิดให้บริการ ดังนั้นในขณะนี้เมื่อแมริออท มีโรงแรมในเครือหลายแห่งในไทยหลายแห่งที่เป็นมาตรฐานระดับเดียวกันสำหรับรองตลาดไมซ์ ก็ทำให้การดึงงานเข้ามาจัดในไทย ได้รับความสนใจ ซึ่งก็เป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยด้วย

ปัจจุบันหลังการควบรวมกิจการ เครือแมริออท จะมีโรงแรมในไทย จำนวน 39 แห่ง และมีโรงแรมที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา และเลือกใช้แบรนด์ต่างๆในเครือแมริออท รวม 19 โรงแรม รวมจำนวนห้องพักกว่า 6,280 ห้อง โดยโรงแรมที่จะเปิดให้บริการได้ภายในช่วงปลายปีนี้ ได้แก่ โรงแรมแบ็งคอก แมริออท มาร์คีส(Marquis) ควีนปาร์ค (อิมพีเรียล ควีนปาร์กเดิม) เปิดในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งการใช้ซับแบรนด์มาร์คีส แสดงถึงการเป็นโรงแรมที่มากกว่า 1,000 ห้อง เพื่อรองรับตลาดไมซ์ ซึ่งเป็นที่แรกในเอเชียแปซิฟิก และเป็นโรงแรมที่ 8 ของโลก ส่วนโรงแรมที่จะเปิดในเดือนธันวาคมนี้ คือ โรงแรมภูเก็ต แมริออท รีสอร์ท แอนด์สปา ,เมอร์ลิน บีช

ส่วนในช่วงกลางปีหน้า ก็เปิดให้บริการโรงแรมเดอะ แบ็งคอก เออิชั่น (EDITION) ซึ่งอยู่ที่โครงการมหานคร ซึ่ง EDITION จะเน้นโรงแรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นการออกแบบตกแต่งที่ทันสมัย ปัจจุบันแบรนด์นี้ในเอเชีย จะเปิดที่จีน และกรุงเทพฯเป็นแห่งแรกในอาเซียน และภายในโครงการมหานคร ทางแมริออท ยังได้เข้ารับบริหารในส่วนของเรสสิเด้นท์ให้โครงการด้วย โดยใช้ชื่อว่า เดอะริทซ์- คาร์ลตัน เรสสิเด้นท์ กรุงเทพฯ สาทร ทั้งยังมีอีกแห่งที่อยู่ระหว่างการพัฒนา อาทิ โรงแรมแบ็งคอก แมริออท เอเชียทีค , โรงแรมแบ็งคอก แมริออท สุรวงศ์, คอร์ทยาร์ด บาย แมริออท กรุงเทพฯ สนามบินสุวรรณภูมิ,เจดับบลิว แมริออท ภูเก็ต รีสอร์ท แอนด์ สปา อ่าวฉลอง,คอร์ทยาร์ด บาย แมริออท อ่าวฉลอง ภูเก็ต,เชอราตัน ภูเก็ต กะหลิม บีช รีสอร์ท, ดับเบิล ยู รีทรีท ภูเก็ต-พังงา,เชอราตัน ภูเก็ต แกรนด์ เบย์ รีสอร์ท,โฟร์พ้อยท์ บาย เชอราตัน ภูเก็ต ป่าตอง บีช,เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา, ริทซ์-คาร์ลตัล เกาะสมุย,เชอราตัน เขาหลัก รีสอร์ท เป็นต้น

ทั้งหมดล้วนเป็นทิศทางที่เกิดขึ้นหลังการปิดดีลการควบรวมกิจการครั้งประวัติศาสตร์ในธุรกิจโรงแรมของโลก

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,196
วันที่ 29 กันยายน - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559