บล.KTBST ประเมินปัญหาดอยช์แบงก์ทำให้ตลาดผันผวน

07 ต.ค. 2559 | 08:24 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ต.ค. 2559 | 14:11 น.
บล.KTBST ประเมินปัญหาดอยช์แบงก์ไม่ถึงขั้นล้มละลาย เพราะจะมีผลรุนแรงกว่าปี 2008 แต่ทำให้ตลาดผันผวน แนะชะลอลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป พร้อมจับตา ตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯคืนนี้อาจส่งผลให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น

นายชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์  บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) เปิดเผยว่า จากกรณีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯเรียกร้องค่าปรับจากธนาคารดอยช์แบงก์ ซึ่งธนาคารอันดับหนึ่งของเยอรมนีเป็นจำนวน 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานความผิดที่จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (RMBS) อันเป็นต้นเหตุให้วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ช่วงปี 2008 ซึ่งจากรายงานข่าวล่าสุดได้มีการเจรจากันระหว่างกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และทางดอยช์แบงก์ ซึ่งมีแนวโน้มว่า ดอยช์แบงก์อาจจ่ายค่าปรับลดลงเหลือเพียง 5,400 ล้านดอลลาร์ โดยที่ปัจจุบัน ดอยช์แบงก์ มีเงินทุนสำรองต่อสินทรัพย์เสี่ยงขั้นที่ 1 อยู่ที่ 12.2% ซึ่งหากจ่ายค่าปรับตามจำนวนดังกล่าว ดอยช์แบงก์จะยังมีสัดส่วนเงินทุนสำรองต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าระดับมาตรฐานของ ECB ซึ่งอยู่ที่ 10.75 % อย่างไรก็ดีจากการประเมินของ KTBST พบว่าหากดอยช์แบงค์ต้องค่าปรับสูงกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ฯขึ้นไป อาจทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานและดอยช์แบงก์อาจจะต้องทำการเพิ่มทุน

อย่างไรก็ตามประเด็นที่ต้องจับตาดู คือ ยังมีอีกหลายกรณีที่มีการฟ้องร้องทางดอยช์แบงก์ ซึ่งต้องติดตามดูว่าจะส่งผลอย่างไร บล.KTBST มีมุมมองว่าดอยช์แบงก์เป็นธนาคารใหญ่อันหนึ่งของเยอรมันและมีธุรกรรมกับธนาคารต่างๆทั่วโลกจำนวนมาก หน่วยงานกำกับดูแลนานาชาติที่เป็นคู่กรณีกับดอยช์แบงค์ไม่น่าเรียกร้องค่าปรับจนทำให้ธนาคารมีปัญหาล้มละลายหรือขาดสภาพคล่อง เพราะจะส่งผลกระทบรุนแรงไปสู่ตลาดการเงินทั่วโลกและอาจจะรุนแรงกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2008 ได้ นอกจากนี้รัฐบาลเยอรมันยังได้เรียกร้องให้ธนาคารในเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้แก่ดอยช์แบงก์หากจำเป็น แต่เมื่อมีข่าวในด้านไม่ดีออกมาจึงมีผลกระทบต่อตลาดเท่านั้น ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนจากข่าวที่ออกมาได้  ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน บล.KTBST จึงแนะนำชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปไปก่อนเพื่อรอดูความชัดเจนในเรื่องนี้

ขณะเดียวกัน Mario Draghi ประธานธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB ได้ปฏิเสธข่าวที่ว่า ECB จะลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และได้ยืนยันว่า ECB จะดำเนินมาตรการ QE ต่อไปจนถึงกำหนดช่วงปลายเดือน มี.ค. ปีหน้า หรืออาจจะขยายเวลาออกไปหากพิจารณาเห็นว่าจำเป็น ขณะที่ตัวเลขยอดคำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานของเยอรมัน (Germany Factory Orders) ประจำเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 1% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 0.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยยอดคำสั่งซื้อส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อภายในประเทศ (2.6%) และกลุ่มประเทศยุโรป (4.1%) แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของประเทศเยอรมันและระดับการบริโภคภายในประเทศและกลุ่มประเทศยุโรปที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังต้องจับตามองถึงปัญหาของกลุ่มธนาคารอย่างใกล้ชิด

ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตามอง ตัวเลขอัตราการว่างงาน และ การจ้างงานนอกภาคการเกษร (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯที่จะประกาศในวันนี้ รวมถึงท่าทีของ Stanley Fischer ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของ FOMC ที่จะให้สัมภาษณ์ว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากตัวเลขและบทสัมภาษณ์ดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยของ FED ได้เร็วขึ้น

"บล.KTBST แนะนำซื้อสะสมตลาดหุ้นจีนที่ได้รับประโยชนจากเม็ดเงินทุนเคลื่อนย้าย และทยอยขายทำกำไรตลาดหุ้นยุโรปจากปัญหาในกลุ่มธนาคารในยุโรป และน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นทดสอบระดับสูงสุดของปี สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ บล.KTBST ยังคงแนะนำให้ สะสมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานและหุ้นกู้เอกชนไทย"