ดีโด้ประกาศเตรียมบุกตลาดอาเซี่ยน CLMV

27 เม.ย. 2560 | 06:36 น.
อัปเดตล่าสุด :27 เม.ย. 2560 | 13:36 น.
ฟู้ดสตาร์ เจ้าของแบรนด์ น้ำผลไม้พร้อมดื่ม “ดีโด้” ตอกย้ำผู้นำตลาดน้ำผลไม้ พร้อมดื่ม ล่าสุด ใส่เกียร์เดินหน้าเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ “โอ้- มาริโอ้ เมาเร่อ” เจาะตลาดวัยรุ่นและคนทำงาน พร้อมปูพรมตลาดอาเซียน บุกเมียนมาร์ ลาว กัมพูชาและเวียดนาม มั่นใจรายได้โต 20% แตะ 4 พันสิ้นปีนี้

นางสาวจันทรา พงศ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำ ผลไม้พร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์  “ดีโด้”  เปิดเผยผลการดำเนินงานของฟู้ดสตาร์ในปี 2559 รายได้อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท เติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพื่อต่อยอดความสำเร็จของดีโด้ บริษัทฯ ต้องการที่จะขยายตลาดในกลุ่มเป้าหมายสังคมเมืองให้มากขึ้น โดยการสร้างแบรนด์ให้ดูทันสมัย และบริษัทฯ ได้ขยายโอกาสในการสร้างยอดขายด้วยการเลือก “มาริโอ้ เมาเร่อ” มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ เพื่อเป็นตัวแทนในการส่งความสดชื่นของสินค้าไปสู่ผู้บริโภค พร้อมช่วยสะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ ในฐานะผู้นำตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มอันดับหนึ่งของไทย นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ ผลไม้พร้อมดื่มที่มีรสชาติ หลากหลายต่อไปในอนาคต

สำหรับการทำตลาดในช่วงครึ่งหลัง บริษัทฯ ใช้งบกว่า 200 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ มี “มาริโอ้ เมาเร่อ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ภายใต้คอนเซ็ปต์“ ส่งต่อความสดชื่น...สะใจ ได้ทุกที่ ทุกเวลา” โดยจะเริ่มออนแอร์ตั้งแต่ 28 เมษายน 2560 เป็นต้นไป พร้อมกับประเทศเมียนมา และลาว ซึ่งจะมีการแปลเป็นภาษาท้องถิ่น จากนั้นจะออกอากาศในประเทศกัมพูชาและเวียดนาม เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำในตลาดอาเซียน โดยตลอดทั้งปีจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ พร้อมไลน์สินค้าใหม่และรสชาติใหม่ต่อเนื่อง

ปัจจุบันตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่ มมีมูลค่า 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ น้ำผลไม้ 100% มีมูลค่า 5 พันล้านบาท น้ำผลไม้ 40 - 90% มีมูลค่า 1,900 ล้านบาท น้ำผลไม้ 20 - 39% มูลค่า 3.3 พันล้านบาท และอื่นๆ อีก 1,300 ล้านบาท ขณะที่ดีโด้อยู่ในกลุ่มตลาดน้ำ ผลไม้ 20 - 39% หรือกลุ่มอีโคโนมี และกลุ่มซุปเปอร์อีโคโนมี โดยมีส่วนแบ่งกว่า 40% ขณะที่ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้ในปีนี้ มองว่าจะมีทิศทางดีขึ้น

บริษัทฯ ทุ่มเงินกว่า 700 ล้านบาท ดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ที่ทันสมัยมาเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในแง่ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยมุ่งเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน ทั้งตลาดในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)

นางสาวจันทรา กล่าวอีกว่า บริษัทฯ จะเข้าไปตั้งออฟฟิศประจำในแต่ละประเทศ โดยคาดว่าตลาดสำคัญๆ ในต่างประเทศจะต้องมีสำนักงานเข้าไปตั้งได้ครบ ภายในระยะเวลา 3 ปีจากนี้

ส่วนการลงทุนอื่นๆ สนใจเข้าไปตั้งโรงงานผลิตในอนาคต ซึ่งจากการเปิดเกมรุกทำตลาดสร้างแบรนด์ ในปี 2559 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากต่างประเทศเติบโต 40% ทำให้สัดส่วนการขายต่างประเทศจาก 20% ขยับขึ้นมาเป็น 30%  ของภาพรวมบริษัทฯ  นอกจากนี้ ยั งมองหาโอกาสจากการเข้าไปเปิดตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ อินเดีย จีน เพื่อสร้างรายได้ทะลุ 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน 3,200 ล้านบาท