ตลาดแอร์กฤติหนัก! อากาศแปรปรวนยอดทรุด10%-ชู‘อินเวอร์เตอร์’แก้เกม

14 พ.ค. 2560 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ค. 2560 | 08:13 น.
ตลาดแอร์อ่วม! ยอดขายหน้าร้อนไม่คืบอากาศแปรปรวนเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน ส่งผลติดลบยาว ผู้ประกอบการเร่งปรับกลยุทธ์แก้มือ ชู “อินเวอร์เตอร์” หัวหอกดันยอดขายกระเพื่อม

แน่นอนว่าช่วงฤดูร้อนเป็นไฮซีซั่นของตลาดเครื่องปรับอากาศหรือแอร์คอนดิชั่น ที่ผู้ประกอบการแต่ละค่ายต่างเตรียมจัดเต็มแผนการตลาดเพื่อโกยยอดขายในช่วงเวลา 2-3 เดือนนี้ และต่างลุ้นให้อากาศร้อนจัด เพราะยิ่งอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเท่าใด ยอดขายก็ทะยานสูงขึ้นมากเท่านั้น แต่ดูเหมือนปีนี้จะไม่เป็นดังคาดการณ์ เพราะมีปัจจัยแวดล้อมทั้งที่ควบคุมได้และไม่ได้ ส่งผลกระทบทำให้ภาพรวมตลาดแอร์ปีนี้ผันผวน จนต้องเร่งปรับกลยุทธ์แก้ไขสถานการณ์ต่อไป

โดยนายนิพนธ์ วงค์แสงอรุณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า "แอลจี" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาติดลบ 6% และช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาติดลบสูงสุดอยู่ที่ 10% ทั้งนี้เป็นผลมาจากสภาพอากาศที่ผันผวน แม้จะร้อนจัดในช่วงแก แต่ร้อนช้าและผ่านไปอย่างรวดเร็ซ เมื่อเทียบกับปี 2559 ขณะเดียวกันก็มีพายุฤดูร้อนในเดือนเมษายน ส่งผลให้ภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศยังติดลบอยู่ ส่วนของบริษัทติดลบ 3% ในช่วงไตรมาส1 ที่ผ่านมา

"สภาพอากาศที่ร้อนจัดมีผลต่อการเลือกซื้อแอร์ในเมืองไทยอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาตลาดแอร์หน้าร้อนมีสัดส่วนยอดขายสูงถึง 50% (ช่วงมีนาคม-พฤษภาคม) เมื่อเทียบกับยอดขายตลอดทั้งปี แต่ทว่าในปัจจุบันปัจจัยหลักในการเลือกซื้อของผู้บริโภค เน้นไปที่การประหยัดพลังงาน ฟังก์ชั่นต่างๆเป็นอันดับ 1 จึงเลือกซื้อแอร์ในระบบอินเวอร์เตอร์มาแทนของเก่า และเน้นความสะดวกในการติดตั้งมากกว่า ส่งผลให้แอร์ในระบบอินเวอร์เตอร์ได้รับความนิยมและมีการเติบโตสูงถึง 74% โดยไม่จำเป็นต้องเลือกซื้อในหน้าร้อนเสมอไป ทำให้ประเมินว่าปีนี้สัดส่วนยอดขายที่มาจากหน้าร้อนจะลดลงเหลือ 40% เนื่องจากการเลือกซื้อของผู้บริโภคมีการกระจายการเลือกซื้อไปยังช่วงอื่นๆของปีมากขึ้น"

ทั้งนี้ประเมินว่าในปลายไตรมาส 2 เป็นต้นไปภาพรวมตลาดจะมีการเติบโตขึ้น เนื่องมาจากผู้ประกอบการรายหลายเริ่มโหมกิจกรรมในการกระตุ้นตลาด รวมถึงแอลจีเองหลังจากปรับไลน์อัพการผลิตเครื่องปรับอากาศเป็นแบบอินเวอร์เตอร์ทั้งหมดตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา ก็มีแผนเปิดตัวเครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์รุ่นใหม่ในช่วงไตรมาส 2-3 นี้อีก 8 รุ่นใหม่ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 16 รุ่น เพื่อเป็นการรุกตลาดเครื่องปรับอากาศตั้งแต่ตลาดล่างไปจนถึงตลาดพรีเมี่ยม โดยวางเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในตลาดแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 25% และเป็นเบอร์ 3 ของตลาดแอร์โดยรวม

ขณะที่ตลาดเครื่องปรับอากาศของไทยปีนี้ คาดว่าจะเติบโต 10% คิดเป็นมูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท หรือ 1.8 ล้านเครื่อง เทียบกับปีก่อนที่มีมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท หรือ 1.6 ล้านเครื่อง โดยขนาด 1.3-1.8 บีทียู เป็นกลุ่มสินค้าที่ขายดีเนื่องจากเป็นขนาดที่เหมาะกับที่พักอาศัย โดยเทรนด์ตลาดแอร์แบบอินเวอร์เตอร์ถือเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงนับจากนี้ คาดการณ์ว่าในสิ้นปีนี้มีอัตราการครอบครองแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ของคนไทยจะเพิ่มเป็น 40-50% และเพิ่มเป็น 70-80% ในช่วง 2 ปีนับจากนี้และอาจจะเป็น 100% ได้ภายใน 5 ปี

ด้านนายฮิโตชิ ทานากะ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ "ไดกิ้น" กล่าวว่า ยอดขายของไดกิ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันพบว่ามีการเติบโตประมาณ 5% ขณะที่ตลาดเครื่องปรับอากาศโดยรวมมีอัตราการเติบโต -10% โดยในหน้าร้อนที่ผ่านมา บริษัทเน้นการทำโปรโมชั่น Daikin Summer Super Save เมื่อผู้บริโภคซื้อเครื่องปรับอากาศไดกิ้นอินเวอร์เตอร์จะได้รับของสมนาคุณโซฟาลมพิชอนคุงมูลค่า 1,590 บาท ผ่อนสูงสุด 24 เดือน หรือรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 6% ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 พ.ค. 60 ซึ่งโปรโมชั่นนี้พิเศษเฉพาะอินเวอร์เตอร์เท่านั้น หากเป็นรุ่นที่ไม่ใช่อินเวอร์เตอร์จะไม่ได้รับของสมนาคุณ และสามารถผ่อนชำระสูงสุด 10 เดือน หรือรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 2%

นอกจากนี้บริษัทยังเปิดให้บริการ "Daikin ProShop" แห่งแรก ซึ่งเดิมเป็นบริษัท อินแอนด์ไอ จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายไดกิ้น และมีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการขาย การให้บริการ การติดตั้ง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่าย และยกระดับมาตรฐานตัวแทนจำหน่ายให้มีความแข็งแรง โดยไดกิ้น โปรช็อปแห่งแรกตั้งอยู่ที่ลำลูกกา ปทุมธานี และมีแผนเปิดไดกิ้น โปรช็อปแห่งที่สองที่พัทยา และตั้งเป้าหมายที่จะเปิดให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทยในปี 2563 โดยแบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 50% และต่างจังหวัดอีก 50%

นายชัยนิวัฒน์ คงศิลป์ ผู้จัดการ ทั่วไป กรี อิเลคทริค (ประ เทศไทย) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ "กรี" กล่าวว่า ปีนี้อากาศไม่ได้ร้อนระอุต่อเนื่องมากนัก เนื่องจากมีฝนตกสลับลงมาทำให้ตลาดรวมเครื่องปรับอากาศไม่มีการเติบโต ขณะที่ภาวการณ์แข่งขันของผู้ขายกลับมีการแข่งขันที่รุนแรง เพราะมีสต๊อกจำนวนมากเป็นผลจากปีที่แล้วที่อากาศร้อนมากและคาดปีนี้อากาศจะร้อนยาวต่อเนื่องเหมือนเดิมอีก ดังนั้นผู้ประกอบการใช้กลยุทธ์เรื่องของราคาเพื่อระบายของ ประกอบสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้เครื่องปรับอากาศแบรนด์ที่มีราคาสูงขายยาก ขณะที่เครื่องปรับอากาศแบรนด์ที่มีราคาถูกขายได้ง่ายกว่า

นอกจากนี้การปรับค่าไฟฟ้าผันแปร(เอฟที) ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการขายเครื่องปรับอากาศประเภทอินเวอร์เตอร์ที่มีเทคโนโลยีช่วยประหยัดไฟในช่วงต่อจากนี้มากขึ้น ประกอบกับการไฟฟ้าก็มีการช่วยโปรโมทเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ด้วยอีกทาง

โดยแผนในอนาคตบริษัทเน้นขยายตลาดงานโครงการให้มากขึ้นทั้งงาน เอกชน รัฐบาล และกลุ่มนักลงทุนจีนที่มาลงทุนในประเทศไทย พร้อมขยายช่องทางการจำหน่าย และขยายกลุ่มสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น โดยช่วงครึ่งปีหลังคาดว่ายอดขายเครื่องปรับอากาศของกรีจะยังมีการเติบโตที่ดี หลังจากปีที่แล้วได้มีการทำกิจกรรมสร้างความเชื่อมั่นร่วมกับดีลเลอร์ ทำให้มียอดจองที่ล้นหลามเข้ามาตั้งแต่ต้นปีและคาดว่าปีนี้จะมียอดขายเติบโตได้ประมาณ 20-30% โดยแยกเป็นยอดขายเครื่องปรับอากาศขนาดครัวเรือน 350 ล้านบาท และระบบเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่อีก 150 ล้านบาท

นายนายอดิศักดิ์ รัมมณีย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ "แคเรียร์" กล่าวว่า แนวโน้มการแข่งขันในตลาดเครื่องปรับอากาศสำหรับที่อยู่อาศัยในปีนี้มีการแข่งขันรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการแต่ละรายจะให้ความสำคัญในการทำตลาดคือเรื่องของการประหยัดพลังงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคจึงส่งผลให้แอร์ระบบอินเวอร์มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ซึ่งในส่วนของบริษัทได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงานใหม่ๆในกลุ่มอินเวอร์เตอร์ทั้งสำหรับกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและสำหรับอาคาร โรงงานออกมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนงานนับจากนี้ได้ทำการตลาดเชิงรุกโดยใช้ On-line Marketing และการโฆษณาผ่านอินเตอร์เน็ตมากขึ้น เช่น Facebook หรือ Google AdWords, On-line video และเว็บไซต์ เพื่อให้กลุ่มลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ (Gen-Y) เพราะผลิตภัณฑ์มีรูปลักษณ์ที่ถูกออกแบบมาใหม่ สวยงามและทันสมัย รวมถึงมีการใช้น้ำยาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยประหยัดพลังงานได้อีกด้วย

MP40-3261-A-259x420

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,261 วันที่ 14 - 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560