สุวิทย์ลงพ.ท.โคราชระดมพลังเอกชนดันกองทุนหมู่บ้านยกระดับเอสเอ็มอี

11 ส.ค. 2560 | 11:20 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ส.ค. 2560 | 18:20 น.
 

สุวิทย์ เมษินทรีย์ ลงพื้นที่นครราชสีมาและยโสธร ชูบทบาทการพัฒนาเศรษฐกิจเมืองใหญ่กระจายสู่เศรษฐกิจฐานราก ติดตามงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองระดมพลังสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และมหาวิทยาลัย ร่วมยกระดับเอสเอ็มอีด้วยนวัตกรรม รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของโคราชและอีสาน

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าตนและคณะได้เดินทางมาตรวจราชการและเยี่ยมเยียนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและยโสธร เพื่อตอกย้ำการขับเคลื่อนบทบาทของนครราชสีมาที่มีต่อการพัฒนาประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 ในฐานะประตูเศรษฐกิจและศูนย์กลางคมนาคมของอีสาน พัฒนาความเจริญเติบโตเศรษฐกิจเมืองใหญ่กระจายสู่เศรษฐกิจฐานราก โดยผนึกกำลังประชารัฐ มหาวิทยาลัย สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สตาร์ทอัพ ขับเคลื่อน SME ภาคอีสานด้วยนวัตกรรม ส่งเสริมผลผลิตและผลิตภัณฑ์ของกองทุนหมู่บ้าน (กทบ.) ที่จะร่วมสร้างความแข็งแกร่งเศรษฐกิจฐานราก พร้อมทั้งเยี่ยมเยียนและช่วยเหลือกองทุนหมู่บ้านผู้ประสบภัยที่บ้านปากเป่ง จ.ยโสธร
kong8 จากการประชุมพบปะผู้แทนเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง(กทบ.) ซึ่งเป็นกลไกเศรษฐกิจฐานรากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 80 คน ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ประกอบด้วยผู้แทนเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจาก 20 จังหวัด และระดับอำเภอจำนวน 32 อำเภอ ในจังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งทีมงานจากสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้เข้ามาหารือข้อคิดเห็นในโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ มุ่งพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ของกองทุนหมู่บ้านฯ ให้ก้าวไกลใน 4 ด้าน ได้แก่ กฏหมาย การเงิน ไอที และความรู้ด้านธุรกิจ รองรับการพัฒนาไปด้วยกัน สู่ไทยแลนด์ 4.0

ทั้งจากมุมมองเรื่อง“นครราชสีมา กับการขับเคลื่อน Thailand 4.0 " นครราชสีมามีศักยภาพโดดเด่น เป็น “ประตูเศรษฐกิจแห่งอีสาน” นั้นตนเองเห็นว่าจังวหัดนี้ มีประชากรถึง 2.6 ล้านคนมากเป็นอันดับ 2 รองจากกทม. จีดีพีสูงเป็นอันดับ 1 ของภาคอีสาน เป็นศูนย์กลางคมนาคมและฐานเกษตรและอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์คมนาคมขนส่งที่จะเชื่อมไทยและเชื่อมโลกในอนาคต เป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุน พาณิชยกรรมและโครงการใหม่ๆมาสู่เมืองและภูมิภาคอีสาน

kong

สำหรับนครราชสีมามีพื้นฐานแหล่งผลิตเกษตรและการค้าเกษตรที่แข็งแกร่งมายาวนาน สนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมอื่นๆตามมา อาทิ แปรรูปอาหาร มีโรงงงานน้ำตาลขนาดใหญ่ 3 โรง โรงงานแป้งกว่า 23 โรง และยังเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญของประเทศอีกด้วย ในห้วงระยะเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี โครงการเมกะโปรเจ็กต์ด้านการขนส่งคมนาคมที่สำคัญในนครราชสีมา อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน คาดว่าจะลงมือก่อสร้างก่อนปลายปี 2560 นี้ และจะแล้วเสร็จปี 2568, โครงการรถไฟทางคู่เริ่มสร้างแล้ว กำหนดแล้วเสร็จในปี 2563

โครงการถนนมอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน-โคราช กำหนดแล้วเสร็จในปี 2564, ส่วนโครงการขนส่งระบบรางขนาดเบาLRT ( Light Rail Transit) ในเขตเมือง 3 เส้นทาง เพื่อแก้ปัญหาจราจรและจะเพิ่มศักยภาพของการพัฒนาเมืองในอนาคตอีกด้วย รวมทั้งจำนวนประชากร 2.6 ล้านคน นักท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นดึงดูดให้มีการลงทุน พาณิชยกรรม ศูนย์การค้า รวมทั้งการเติบโตของภาคบริการโรงแรม การประชุมสัมมนาและการท่องเที่ยว ด้านแรงงานแต่เดิม 80% เป็นแรงงานในภาคการเกษตร ปัจจุบันหันมาทำงานภาคบริการมากขึ้น มีการขยายตัวของ Solar Farm โรงพยาบาล โรงเรียนนานาชาติ

kong1

"ดังนั้น ความร่วมมือของประชารัฐ จึงเป็นพลังสำคัญยิ่งในการที่จะขับเคลื่อนพัฒนานครราชสีมาและภูมิภาคอีสานสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน"นายสุวิทย์ กล่าว

ทั้งนี้นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังได้ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ บทบาทของมหาวิทยาลัยในการขับเคลื่อน SME ภาคอีสานด้วยนวัตกรรม โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่จาก Young Entrepreneurs Club - YEC/ BizClub ผู้บริหาร คณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัย ร่วมกันระดมข้อคิดเห็นเพื่อพัฒนาความร่วมมืออย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง

kong2

ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก รัฐมนตรีฯ และคณะได้เดินทางไปเยี่ยม สถาบันการเงินชุมชนบ้านมะเกลือใหม่ หมู่ที่ 1 ตำบลมะเกลือใหม่ อำเภอสูงเนิน ได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นถึงบทบาทในการเป็นธนาคารของประชาชน การส่งเสริมอาชีพและการพัฒนาชุมชนเมือง ตลอดจนการดำเนินตามโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจตามแนวทางประชารัฐ ขณะเดียวกันสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ก็ได้รับประโยชน์ด้วย นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมกิจกรรมผลิตภัณฑ์ประชารัฐและกิจกรรมของกองทุน เช่น โรงงานน้ำดื่มบ้านมะเกลือใหม่ ช่วยให้ประชาชนได้มีน้ำดื่มราคาถูกและมีสุขอนามัยตามมาตรฐาน อ.ย. ด้วย

โดยนายสุวิทย์ กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยมโรงน้ำดื่มที่บ้านมะเกลือใหม่นี้ทำให้พบว่า ชุมชนนี้เข้มแข็งมาก มีการบริหารกิจการโรงน้ำดื่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณภาพน้ำได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก อ.ย. โดยหากดำเนินกำลังการผลิตเต็มที่ 24 ชม.ต่อวัน จะผลิตได้ 6,000 ลิตร (ปัจจุบันผลิตที่ 8 ชม.ต่อวันผลิตได้ประมาณวันละ 2,500 ลิตร) ที่สำคัญราคาถูกเพียงลิตรละ 50 สตางค์ ลูกค้าก็เป็นสมาชิกกองทุนและชาวบ้านทั่วไปในพื้นที่ตำบลมะเกลือใหม่และชุมชนใกล้เคียง นับว่าเป็นโครงการที่ทำให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านดีขึ้นทั้งในแง่สุขภาพและยังสร้างรายได้กับสมาชิก และผู้ถือหุ้นของกองทุนแห่งนี้ด้วย

kong6

สำหรับน้ำดื่มที่บ้านมะเกลือใหม่มีการสร้างแบรนด์ชื่อ"กล้าดี" จึงได้เสนอแนะว่าในโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐนั้น มีหลายหมู่บ้านที่ดำเนินกิจการโรงน้ำดื่มที่ใช้แบรนด์ต่างๆกันไป คุณภาพและมาตรฐานก็ยังแตกต่างกันขึ้นกับศักยภาพของแต่ละหมู่บ้าน จึงให้นโยบายไปว่ากองทุนหมู่บ้านฯ ควรที่จะจัดทำแบรนด์กลางเป็นเหมือนน้ำดื่มประชารัฐ และต่อด้วยแบรนด์ของหมู่บ้านนั้นๆเอง ที่สำคัญต้องเร่งสร้างคุณภาพและมาตรฐานของน้ำดื่มให้ผ่านการรับรองจาก อ.ย ดังเช่นที่ตำบลมะเกลือใหม่ได้รับ จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์น้ำดื่มประชารัฐของหมู่บ้านทั่วประเทศ

"ส่วนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) มีศักยภาพในการร่วมพัฒนาภูมิภาคอีสานและเศรษฐกิจประเทศไทย โดย มทส.มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงในระดับโลก สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมหลายชิ้นที่มีประโยชน์ต่อประเทศ อาทิ การแยกกระดาษออกจากพลาสติก ซึ่งได้เป็น 1ใน 20 innovations ที่ยอดเยี่ยมของทศวรรษ จากนิตยสารระดับโลก Time Magazine เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว มีผลงานการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) และระบบการบริหารจัดการจากขยะแบบครบวงจร รวมไปถึง "แสงซินโครตอน" ซึ่งมีสถาบันวิจัยแสงซินโครตอน (องค์การมหาชน) ตั้งอยู่ภายใน มทส. ทำการศึกษาวิจัยการใช้เทคโนโลยีแสงขั้นสูงในอุตสาหกรรมการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยกว่า 1,580 ล้านบาท ในปี 2557-2558

kong3

มทส. จะเป็นมหาวิทยาลัยที่ตอบโจทย์ Thailand 4.0 ได้อย่างดี เนื่องจาก มทส. ได้สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การขับเคลื่อน 3 ระบบเศรษฐกิจใน Thailand 4.0 นั่นคือ Innovation-Driven Economy ที่ใช้องค์ความรู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ, Distributive Economy ที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจกระจายตัว เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม , Circular Economy ที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทยของเรา มทส. ได้ก้าวเดินมาอย่างถูกทิศทางตลอด 27 ปีที่ผ่านมา มีบุคลากรศักยภาพสูง มีงานวิจัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก และสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพอันเป็นกำลังสำคัญของประเทศ ขอเป็นกำลังใจผู้บริหาร มทส. ในการเดินหน้าต่อไป เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของประเทศ ที่มีความโดดเด่นในการแปลงงานวิจัยไปสู่นวัตกรรมเชิงพาณิชย์ (From Lab Scale to Market Scale) เพื่อนำพาประเทศสู่ Thailand 4.0 อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน"

ส่วนแนวทางการพัฒนา มทส.ควรใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในเชื่อมโยงการพัฒนาใน 3 ระดับ ได้แก่
(1) ระดับท้องถิ่น (Local) ที่ต้องตอบโจทย์ว่า “โคราชต้องการอะไร ?” เพื่อปิดช่องว่างและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาทิ เรื่องของ Smart Farming, เรื่องของ Precision Agriculture, เรื่องของ Food Valley เป็นต้น (2) ระดับภูมิภาค (Regional) ที่ต้องตอบโจทย์ว่า “อีสานต้องการอะไร ?” เพื่อยกระดับการพัฒนาภาคและประเทศ รวมทั้งสร้างความเชื่อมโยงกับ CLMV ในฐานะที่โคราชเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อภูมิภาค หรือ Region Hub ไม่ใช่เพียงแค่ประตูสู่อีสาน ในแนวคิดเดิม (3) ระดับโลก (Global) ที่ต้องตอบโจทย์ว่า “จะเชื่อมโยงกับโลกได้อย่างไร ?” โดยงานวิจัยของ มทส. อาจจะช่วยตอบ Global Agendas เช่น การวิจัยชั้นสูงและการใช้ประโยชน์จากแสงซิงโครตรอน การผลิตนักฟิสิกส์ระดับโลกในอนาคต เป็นต้น

kong7

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ยังได้ประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการทั้ง 4 จังหวัด เกี่ยวกับโครงการจังหวัดที่จะเสนอ ต่อ ครม.สัญจร ซึ่งจะมีขึ้นในภาคอีสานในวันที่ 28 -29 สิงหาคม 2560 และได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้ที่เสียชีวิตจากอุทกภัย มีจังหวัดอุบลราชธานี 1 ราย, จังหวัดศรีสะเกษ 3 ราย จากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสำนักนายกรัฐมนตรี จากนั้นได้เดินทางเยี่ยมประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ชมการดำเนินการของกองทุนหมู่บ้าน และมอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่บ้านปากเป่ง จ.ยโสธร

kong4