ตลาดศัลยกรรมความงามเมืองไทยส่งสัญญาณบวก “NCC” เร่งเสริมแกร่งชูมาตรฐาน JCI สร้างความเชื่อมั่นลูกค้าสู่สถานเสริมความงามมาตรฐานระดับโลก เล็งขยายฐานลูกค้าต่างชาติเพิ่ม “เดอะ เมดิซี คลินิก” ชี้แนวโน้มผู้บริโภคใส่ใจดูแลความงามมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคลินิกจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เร่งหาเทคโนโลยี-บริการเสริม
ปัจจุบันตลาดศัลยกรรมความงามในเมืองไทยมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาเปิดให้บริการจำนวนมาก ทั้งที่บริหารจัดการโดยแพทย์จริง เหล่าศิลปินดารา เซเลบริตี ที่อยากมีธุรกิจและสนใจในเรื่องการทำศัลยกรรมก็หันมาลงทุนทำธุรกิจด้านนี้กันเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมตลาดมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 30% ขณะที่กลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้ในการแข่งขันมากที่สุดประกอบไปด้วยโปรโมชัน ราคา ที่แตกต่างกันออกไป อาจจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนในการเลือกใช้บริการทำศัลยกรรมในแบบที่ถูกต้อง ทำให้วันนี้คลินิกความงามที่บริหารจัดการโดยแพทย์ มุ่งเน้นไปที่คุณภาพ มากกว่าแข่งขันที่ราคาจึงได้รับความนิยมมากขึ้น
ต่อเรื่องดังกล่าว น.พ. นพรัตน์ รัตนวราห ผู้อำนวยการ คลินิกศัลยกรรมความงาม ภายใต้ชื่อ “นพรัตน์ คอสเมติก คลินิก” (Nopparat Cosmetic Clinic :NCC) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลยุทธ์หลักที่คลินิกจะนำมาใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าคือการมุ่งมั่นในแง่ของคุณภาพ บริการและความปลอดภัย โดยล่าสุดทางคลินิกเพิ่งได้รับมาตรฐานระดับโลก JCI ซึ่งเป็นมาตรฐานจากอเมริกาที่เป็นองค์กรอิสระที่ทำหน้าหน้าที่รับรองมาตรฐานสถานพยาบาล ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งหลังจากได้ผ่านมาตรฐานดังกล่าวจะทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในความปลอดภัยมากขึ้น
สำหรับแผนงานหลักของทางคลินิกหลังจากนี้ จะเน้นการทำตลาดผ่านเรื่องความปลอดภัย และคุณภาพเป็นหลัก จะไม่เน้นการแข่งขันทางด้านราคาเหมือนรายอื่นๆ ที่กำลังแข่งขันด้านราคากันอย่างดุเดือดอยู่ขณะนี้เนื่องจากสามารถสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนในระยะยาวได้มากกว่าการกระตุ้นตลาดตามกระแส เพื่อรองรับแนวโน้มธุรกิจศัลยกรรมความงามที่มีโอกาสเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ยังใส่ใจเรื่องบุคลิกภาพ โดยปีนี้จะทำการเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้น เช่น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง ลาว กัมพูชา เจาะตลาดกลาง-บน กลุ่มคนที่มีรายได้สูง โดยวางเป้าหมายขยายกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มเป็น 20% ในปีหน้า จากปัจจุบันที่สัดส่วนลูกค้าต่างชาติยังน้อยมีสัดส่วนเพียง 5-10% ขณะที่ปัจจุบันอีก 80% เป็นลูกค้าชาวไทย
นอกจากนี้ยังจะใช้กลยุทธ์การบอกต่อสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในการสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ขณะที่ลูกค้าชาวต่างชาติจะเน้นการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย จะให้ข้อมูลต่างๆ บนเว็บไซต์ของคลินิก 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย อังกฤษ จีน จากเดิมที่มีเพียงภาษาไทย คาดว่าตลอดทั้งปี 2560 ธุรกิจจะเติบโต 10-20% และตั้งเป้าว่าปี 2561 ธุรกิจจะเติบโต 20-40% จากปัจจัยบวกลูกค้าต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงเพิ่มมากขึ้น ส่วนตลาดในประเทศคาดว่าจะทรงตัว เนื่อง จากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศจะไม่ขยายตัวมากนัก
อย่างไรก็ตามปัจจุบันตลาดธุรกิจเสริมความงามมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยเอ็นซีซี คาดหวังว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด 1-2% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด นอกจากนี้ยังคาดหวังว่าจะไปดึงส่วนแบ่งของลูกค้าต่างชาติในเอเชียที่ชื่นชอบไปทำศัลยกรรมที่ประเทศเกาหลีใต้ เปลี่ยนมาทำศัลยกรรมที่ไทย เพราะระยะทางในการเดินทางใกล้เคียงกัน แต่ค่าครองชีพ และสถานที่ท่องเที่ยวเชื่อมโยงไทยที่ค่อนข้างได้เปรียบ
ด้านพ.ญ.ชุติมา อัศวอารี ผู้อำนวยการ คลินิกความงาม “เดอะ เมดิซี คลินิก” (The Medici Clinic) กล่าวว่า ปัจจุบันการใช้บริการคลินิกความงามถือเป็นหนึ่งในการดูแลสุขภาพและเสริมสร้างบุคลิก โดยวันนี้การเข้ามาใช้บริการของลูกค้าจะพิจารณาจาก 3 เรื่องหลัก ได้แก่ ผลลัพธ์ในการรักษา, ราคา และสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สถานที่ตั้ง ที่จอดรถ เป็นต้น ขณะที่แนว โน้มการใช้บริการจะเน้นไปที่การดูแลใบหน้า การปรับลดริ้วรอย การบำรุงผิวหน้า (ทรีตเมนต์) มาก กว่าบอดี้ และเรื่องของเทคโนโลยี มีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
หลังเปิดให้บริการสาขาแรก ที่เค-วิลเลจ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการเป็นคนในวัย 25-30 ปีขึ้นไป ซึ่งต้องการคลินิกความงามที่มีคุณภาพ ในระดับราคาสมเหตุสมผล ขณะที่ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ เรื่องของริ้วรอย เมื่อมาใช้บริการและได้ผลลัพธ์ที่ดี จึงมีการบอกต่อ และกลับมาใช้บริการซํ้า โดยปัจจุบันเดอะ เมดิซี คลินิกเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ขณะที่คลินิกเองเริ่มมีการทำประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเชียล และในอนาคตคลินิกมีแผนขยายการให้บริการที่หลากหลายขึ้น รวมถึงการให้บริการแพทย์ทางเลือก เช่น การฝังเข็ม ฯลฯ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการดูแลสุขภาพและความงามให้กับลูกค้า
“ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมเลือกใช้บริการคลินิกหรือศูนย์ความงามครบวงจรมากขึ้น โดยเฉพาะคลินิกที่มีแพทย์ผู้ชำนาญการเป็นเจ้าของ เพราะจะได้ผล ลัพธ์ที่ดี มีการพูดคุยและเข้าใจถึงปัญหาและความต้องการที่แท้จริง โดยลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในคลินิก 80% จะเชื่อมั่นที่ตัวแพทย์เป็นหลัก ขณะที่เรื่องของทำเลที่ตั้งคลินิกก็มีความสำคัญเพราะลูกค้าที่มาใช้บริการต้องเดินทางสะดวก อย่างไรก็ดีในอนาคตจะเพิ่มเรื่องของอุปกรณ์ คอร์สและการตลาดให้มากขึ้น ทั้งนี้เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ใน 1 ปี”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,297 วันที่ 17 - 20 กันยายน พ.ศ. 2560