ลุ้น! ดีเอสไอออกเลขนำสืบสคดีทุจริต 2,000 ล้าน สหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ ... สน.บางรัก มึน! ... สำนักส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพฯ พื้นที่ 1 ทวงถามคดี ... วงใน เผย ล่าสุดเหตุลุกลามแล้ว สมาชิกบางสหกรณ์แห่ถอนเงิน หวั่นกระทบทั้งระบบ
นายวิวัฒน์ สมบัติหลาย ประธานกลุ่มธรรมาภิบาล เครือข่ายภาคประชาชนต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชัน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลุ่มธรรมาภิบาลร่วมกับสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด ได้เข้าแจ้งความกับสถานีตำรวจนครบาลบางรัก ต่อกรณีที่ นายบุญส่ง หงษ์ทอง อดีตประธานสหกรณ์ฯ กับพวก ที่เป็นคณะกรรมการสหกรณ์ จำนวน 26 คน ได้ร่วมกันฉ้อโกงเงินของสมาชิกจำนวนกว่า 6,300 คน คิดเป็นวงเงินกว่า 2,200 ล้านบาท เพื่อให้ดำเนินการสอบสวนเอาผิดตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนั้น ยังพบพิรุธต่อกรณีที่สำนักงานส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 ได้ทำหนังสือทวงถามความคืบหน้าตามที่ได้แจ้งความร้องทุกข์แทนสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด ทั้ง ๆ ที่ไม่มีหลักฐานประกอบการแจ้งเอาผิด นายบุญส่ง หงษ์ทอง กับพวก
โดยกรณีดังกล่าวนี้ พบว่า สำนักส่งเสริมสหกรณ์ฯ พื้นที่ 1 ไปแจ้งความภายหลังจากที่กลุ่มธรรมาภิบาลพาสมาชิกสหกรณ์ไปร้องทุกข์ต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2560 และยื่นสำนักงนาป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองปราบปราม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จนกระทั่งสำนักนายกรัฐมนตรีทำหนังสือสั่งไปยังกรมส่งเสริมสหกรณ์ให้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง แล้วแจ้งผลให้ทางนายกรัฐมนตรีทราบต่อไปนั้น
“ไปแจ้งความร้องทุกข์โดยที่ไม่มีเอกสารหลักฐานประกอบ ทั้ง ๆ ที่มีอำนาจเรียกเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของสหกรณ์ต่าง ๆ แถมยังมีหนังสือมาทวงถามความคืบหน้า ขณะนี้ สน.บางรัก ได้รับทราบความเสียหายคิดเป็นวงเงินมหาศาล และเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก อีกทั้งยังมีโอกาสจะส่งผลกระทบไปยังสหกรณ์ต่าง ๆ อีก ไม่น้อยกว่า 14 แห่ง จึงได้รับแจ้งความ พร้อมจะร่วมกับกลุ่มธรรมาภิบาลจัดหาเอกสารหลักฐาน เพื่อเอาผิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป”
นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า นับจากนี้ไป ทาง สน.บางรัก จะบูรณาการ 3 ฝ่าย ทำงานร่วมกันในการจัดหาเอกสารหลักฐานเพื่อเอาผิดกับนายบุญส่งและพวก โดยจะได้ร่วมกับกลุ่มธรรมาภิบาล สมาชิกสหกรณ์ และสำนักส่งเสริมฯ พื้นที่ 1 เนื่องจากหวั่นว่า จะมีการผ่องถ่ายทรัพย์สินของกลุ่มผู้กระทำผิด เมื่อได้ข้อมูลความผิดชัดเจนแล้ว จึงจะประสานกับดีเอสไอ, ปปง. และกองปราบปราม เพื่อทำงานร่วมกันในเชิงลึกต่อไป
“สำนักส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 ในฐานะผู้เสียหายและผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ หากไม่ส่งเอกสารไปให้ สน.บางรัก คดีก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้ แม้จะแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ก็ตาม แบบนี้ตบตาหลอกผู้บังคับบัญชาระดับสูง ระดับนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ก็น่าคิดในข้อพิรุธการกระทำ ด้านพนักงานสอบสวนก็ทำหนังสือขอเอกสารเพื่อกันตนเองไว้ก่อน เมื่อไม่ได้เอกสารและมีระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ก็ต้องสรุปสำนวนส่งผู้บังคับบัญชาต่อไป ล่าสุด ทราบว่า แกนนำได้หลบหนีออกไปอยู่เมียนมา ส่วนคนอื่นจะผ่องถ่ายทรัพย์ไปไหนอย่างไรบ้างนั้น คงจะต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด อีกทั้งหากภาครัฐยังล่าช้า จะเกิดความเสียหายมหาศาลในวงการสหกรณ์ของไทยตามมาอีกอย่างแน่นอน”
ด้าน นายกิ่งแก้ว โยมเมือง ทนายความกลุ่มธรรมาภิบาล กล่าวว่า ได้ร่วมหารือกับ นายณรงค์พล พัฒนศรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 ต่อกรณีดังกล่าวนี้ ทราบว่าได้มีการนำเสนอให้มีคำสั่งปลดคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด ชุดที่ 12 จำนวน 2 ครั้ง พร้อมตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทนชั่วคราว ปรากฏว่า ผู้บริหารระดับสูงของกรมส่งเสริมสหกรณ์กลับไม่มีคำสั่งใด ๆ แม้ว่าบัดนี้ความเสียหายลุกลามแล้วก็ตาม โดยพบว่า บางสหกรณ์ที่เป็นเครือข่ายเงินฝาก ได้มีสมาชิกแห่ไปถอนเงิน เพราะหวั่นว่าจะไม่ได้เงินคืนจากกรณีทุจริตสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ ซึ่งหากยังปล่อยไว้ต่อไป วงเงินจะลุกลามสร้างความเสียหายมากกว่า 5,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน
“ประการสำคัญด้านความคืบหน้าการร้องเรียนไปยังกองปราบปราม ดีเอสไอ และ ปปง. นั้น ยังคงพบว่า ล่าช้า เนื่องจากยังต้องรอ สน.บางรัก สรุปความผิดทั้งหมดให้แล้วเสร็จก่อน ผู้ถูกกล่าวหายังลอยนวล สมาชิกและความเดือดร้อนยังแผ่ขยายกันลุกลามต่อไปเรื่อย ๆ ดังนั้น คงต้องรอให้ดีเอสไอออกหมายเลขสืบเพื่อติดตามประสานด้านการสืบสวนสอบสวนเชิงลึกกับผู้เกี่ยวข้องกันต่อไป”
……………….
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,353 วันที่ 1-4 เม.ย. 2561 หน้า 12
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
●
ทุจริตสหกรณ์ฯรถไฟ ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข
●
ทุจริตสหกรณ์รถไฟ2พันล้าน คนรถ-เลขาซื้อบ้านหรู ลุ้นปปง.อายัดทรัพย์