สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดสัมมนา Thailand Competitiveness Conference 2018 ภายใต้คอนเซปต์ Powering Thailand Competitiveness through Digital Transformation โดย เชิญผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันไอเอ็มดี ผู้บริหารภาครัฐและเอกชน ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แนวทางการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในยุคปัจจุบัน พร้อมเปิด เปิดมุมมองการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลและภาคธุรกิจ ณ โรงแรมแชง-กีลา กรุงเทพฯ
ศ. อาร์ทูโร บิส ผู้อำนวยการศูนย์ IMD World Competitiveness Center บรรยายพิเศษหัวข้อ Adopting Technology for National Competitiveness ในงานสัมมนา Thailand Competitiveness Conference 2018 ว่าปัจจุบันกระแสดิจิทัลเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ภาครัฐจะต้องรับบทบาทเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยภาครัฐต้องเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงออกกฎหมายใหม่ๆ ขึ้นมากำกับดูแลเทคโนโลยีที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินดิจิทัล เทคโนโลยีบล็อกเชน หรืออื่นๆ ที่กำลังจะเข้ามา ในหลายประเทศที่เปิดรับเทคโนโลยีก็ส่งผลต่อการยกระดับขีดความสามารถ เช่น ฮ่องกง และ สิงคโปร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในอนาคตเทคโนโลยีบล็อกเชน จะเข้ามามีบทบาทต่องานบริการสาธารณะมากขึ้น ประชาชนจะติดต่องานกับภาครัฐ โดยผ่านทางคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนของตัวเอง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนจะลดลง ถือเป็นความท้าทายของภาครัฐสมัยใหม่ ที่จำเป็นจะต้องวางกฏระเบียบการกำกับดูแลเพื่อควบคุมระบบสังคมเศรษฐกิจให้เป็นระเบียบ ขณะเดียวกันต้องไม่ไปปิดกั้นเทคโนโลยีต้องส่งเสริมเอกชนที่มีความพร้อมให้สามารถเติบโต เป็นแกนหลักของระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม ได้มีการอภิปรายหัวข้อ "Powering Business Competitiveness through Digitalization โดยนายชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย อเมซอน เว็บ เซอร์วิส (AWS) กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อทุกอุตสาหกรรม ธุรกิจยุคใหม่ก็นำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนาองค์กรของตัวเอง เห็นได้ชัดอย่างเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ไม่ว่าจะด้านเสียง ภาพ วีดีโอ หรือ ข้อความ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ต่อยอดมาสร้างบริการใหม่ ๆเพื่อต่อยอดธุรกิจ
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กล่าวว่า บทบาทของสำนักงานฯ คือการยกระดับการบริการของภาครัฐ จะเน้นภารกิจการบูรณาการข้อมูลของหน่วยงานราชการในการให้บริการประชาชน ในเดือนสิงหาคมก็จะมีการยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประชาชน และทะเบียนบ้านในการติดต่อหน่วยงานราชการ ขณะเดียวกันจะมีการผลักดันการเปิดข้อมูลภาครัฐให้มากที่สุด
"จะมีการเปิดระบบให้ภาคเอกชนมาเชื่อมต่อ ในการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ และในอนาคตได้วางแผนที่จะนำเอกสารหนังสือสัญญาทั้งหมดของราชการเปิดเผยออกมาให้ประชาชนรับรู้ เพื่อสร้างความโปร่งใสในการบริหารงาน นอกจากนี้ทางสำนักงานฯจะร่วมกันวางระบบบริการภาครัฐ เป็นแบบจุดเดียวครบวงจร (one stop service) และลดขั้นตอนการขอใบอนุญาต ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของยกระดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ หรือ Doing Business "ดร.ศักดิ์กล่าว
ด้านนายสุวัฒน์ มีมุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ (BIIC) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผยว่า บางจากได้จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมฯ ขึ้นมา เพื่อทำให้เป็นมันสมองและมองหาแผนธุรกิจสำหรับอนาคตของบริษัท ที่ผ่านมาได้มีการทดลองไอเดียธุรกิจใหม่ๆมาโดยตลอด โดยเป็นเจ้าแรกที่นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ร่วมกับการค้าขายพลังงาน ซึ่งได้มีการจับมือกับพันธมิตรในการทดลองใช้หรือการทดลองระบบพลังงานแสงแดดโซลาร์รูฟ ในสถานีน้ำมัน
ขณะที่ ดร.กำพล ศรธนะรัตน์ ผู้อำนวยการบริหารความเสี่ยงและธรรมาภิบาลองค์กร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ในฐานะองค์กรกำกับดูแล จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของผู้ที่เกี่ยวข้อง และจะต้องไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันเสรี ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ก็มีการจัดฝึกอบรมพัฒนาทักษะเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกันได้วางกรอบการทำงานให้สอดรับกับยุคดิจิทัลมากขึ้น แม้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากหลายด้านก็ตาม