ดันราคาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยพุ่ง
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยผลสำรวจทำเลกรุงเทพกรีฑาโดดเด่น ดันราคาที่ดิน-คอนโด ฯโตเฉลี่ย 10%-15% ต่อปี
[caption id="attachment_346881" align="aligncenter" width="503"]
อนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ[/caption]
นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจทำเลศักยภาพ พบว่ากรุงเทพกรีฑาเป็นทำเลที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยปัจจัยสนับสนุนทั้งทางด้านการคมนาคม ทั้งทางรางและทางถนนโครงการใหม่ตัดผ่าน เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (สถานีศรีกรีฑา) ช่วงลาดพร้าว – สำโรง และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ส่วนตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี
นอกจากนี้ยังมีถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่เป็นถนนเส้นหลักหรือถนนใหญ่หลายเลนตัดผ่านเชื่อมจากถนนหัวหมากไปยังร่มเกล้า และทำยังอยู่ใกล้ทางด่วน อยู่ไม่ไกลจากศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) และยังรายล้อมไปด้วยสถาบันการศึกษาที่มีชื่อ โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้า ส่งผลให้ราคาที่ดินบริเวณกรุงเทพกรีฑาตอนต้นช่วงปี 2558-2561ปรับขึ้นเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของที่ดินในกรุงเทพและปริมณฑลที่ปรับขึ้นเฉลี่ยประมาณ 4% ต่อปี ดังนั้นราคาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพกรีฑาจึงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้น
โดยโครงการคอนโดมิเนียมมีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ซึ่งมีการซื้อ-ขายอย่างรวดเร็ว มีอัตราดูดซับถึง 30 ยูนิตต่อโครงการต่อเดือน ด้านราคาของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายปี 2560 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาทต่อตารางเมตร และมีการเติบโตเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2556 – 2561 ถึง 15% ต่อปี ดังนั้นโครงการที่จะเปิดขายใหม่จึงคาดว่าจะมีแนวโน้มราคาเติบโตขึ้นจากราคาที่ดินที่สูงขึ้น และดีมานด์ซื้อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มมากขึ้น
โดยคอนโดมิเนียมที่นำมาขายใหม่ (รีเซล) พบบางโครงการให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% ต่อปี ส่วนตลาดปล่อยเช่ามีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 5-7%
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยมองว่าปัจจุบันระดับราคาของคอนโดมิเนียมเติบโตสูงขึ้นกว่าราคาของที่ดินที่ปรับขึ้น และคาดว่ามูลค่าของที่ดินจะเติบโตขึ้นมากกว่าที่ดินโซนอื่นในบริเวณใกล้เคียงกัน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในการเข้าไปลงทุน ขณะที่บ้านเดี่ยวในทำเลกรุงเทกรีฑา มีผู้ประกอบการเข้ามาพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวจำนวนมาก โดยภาพรวมตลาดเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ราคาเสนอขายในปัจจุบันอยู่ที่ 15 ล้านบาทต่อหลัง ราคาขายสูงสุดถึง 50 ล้านบาทต่อหลัง และราคามีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ประมาณ 35%