GDP และ GNP กับบทบาทในการเป็นมาตรวัดเศรษฐกิจ
เมื่อไม่นานมานี้ มีข้อเสนอให้มีการติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) ที่นับเป็นอีกหนึ่งมาตรวัดทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งหนึ่งในข้อดีของ GNP ก็คือ ความครอบคลุมที่จะกระจายไปถึงมิติรายได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งอาจมีบทบาทมากขึ้นในระยะข้างหน้า เมื่อดอกผลจากการลงทุนในต่างประเทศของภาคธุรกิจไทย เริ่มปรากฎเด่นชัดมากขึ้น หลังจากที่มีการขยับขยายการลงทุนไปต่างประเทศตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
*GDP และ GNP กับบทบาทในการเป็นมาตรวัดระบบเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) กับผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product: GNP) มีข้อแตกต่างกันอยู่ที่แนวการวัดมูลค่าของสินค้า/บริการขั้นสุดท้ายว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในอาณาเขตของประเทศนั้นๆ หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบุคคลของประเทศนั้นๆ โดยมาตรวัด GDP จะสะท้อนผลรวมของมูลค่าสินค้า/บริการขั้นสุดท้ายที่ “ผลิตขึ้นภายในประเทศ” ไม่ว่าจะเป็นของบุคคลสัญชาติใดก็ตาม ขณะที่ GNP จะวัดเฉพาะมูลค่าสินค้า/บริการขั้นสุดท้ายที่ “เป็นของบุคคลในประเทศ” ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายใน หรือภายนอกประเทศก็ตาม
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า มูลค่า GNP จะสูง หรือต่ำกว่า GDP ก็ได้ในความเป็นจริงสำหรับประเทศหนึ่งๆ ขึ้นอยู่กับว่า รายได้ในต่างประเทศจากฝีมือของบุคคลในประเทศ [ทั้งในรูปค่าตอบแทนจากการออกไปทำงานต่างประเทศของบุคคลประเทศนั้น และผลประโยชน์จากการที่ภาคธุรกิจของประเทศนั้นออกไปลงทุนในต่างประเทศ] สูง หรือต่ำกว่า รายได้ที่สร้างขึ้นในประเทศโดยฝีมือของชาวต่างชาติ [ทั้งในรูปค่าตอบแทนจากการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างชาติ และผลประโยชน์จากการเข้ามาลงทุนของกิจการต่างชาติ]
เป็นที่รู้กันดีว่า ญี่ปุ่น เยอรมนี และสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มี GNP สูงกว่า GDP เพราะมีธุรกิจที่กระจายฐานการลงทุนออกไปยังภูมิภาคต่างๆ และสามารถนำส่งรายได้กลับเข้าประเทศ โดยรายได้สุทธิจากต่างประเทศ (จากแรงงานและธุรกิจ) คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 4.4 ร้อยละ 2.1 และร้อยละ 1.0 ของ GNP ปี 2558 ตามลำดับ
ภาพดังกล่าวอาจกลับด้านกันสำหรับกรณีของประเทศไทย และเพื่อนบ้านในอาเซียนบางประเทศ อาทิ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่ล้วนมีมูลค่า GNP อยู่ต่ำกว่า GDP เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจในปัจจุบัน ยังสะท้อนถึงบทบาทความสำคัญของธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศ ซึ่งทำให้แต่ละประเทศมีการจ่ายค่าผลประโยชน์จากการลงทุนและค่าตอบแทนจากการทำงาน ให้กับชาวต่างชาติมากกว่าส่วนที่รับจากต่างประเทศ อย่างไรก็ดี กรณีของฟิลิปปินส์มีข้อแตกต่างที่น่าสนใจ และไม่ใช่เพราะว่า ฟิลิปปินส์เป็นเพียงหนึ่งเดียวในอาเซียนที่มีมูลค่า GNP มากกว่า GDP ถึง 1.2 เท่า เท่านั้น แต่เป็นเพราะสัดส่วนกว่าร้อยละ 80 ของรายได้โดยรวมที่ส่งกลับมาจากต่างประเทศ มาจากฝีมือของแรงงานชาวฟิลิปปินส์ที่ออกไปทำงานในต่างประเทศ
มาถึงจุดนี้ คงต้องย้ำว่า มูลค่า GNP ที่ต่ำกว่า GDP ของแต่ละประเทศ ไม่ได้หมายความถึงสถานการณ์ที่อ่อนแอของระบบเศรษฐกิจ หรือดอกผลที่จ่ายตอบแทนให้กับชาวต่างชาตินั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของและการพัฒนาเศรษฐกิจ
*ย้อนกลับมาดูกรณีของประเทศไทย มูลค่า GNP ของไทยน้อยกว่ามูลค่า GDP นับตั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีระดับต่ำกว่าประมาณ 4.6 แสนล้านบาทโดยเฉลี่ยต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากรายได้จากการลงทุนและค่าตอบแทนที่จ่ายให้กับชาวต่างชาติในไทย ยังคงสูงกว่ารายได้จากการลงทุนและค่าตอบแทนของบุคคลสัญชาติไทยในต่างประเทศ อยู่กว่า 3.5 เท่าต่อปี
อย่างไรก็ดี อัตราการขยายตัวของ GNP ที่เริ่มแซงหน้าอัตราการขยายตัวของ GDP ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา [GNP ขยายตัวร้อยละ 2.2 และร้อยละ 3.6 ในปี 2557 และ 2558 สูงกว่าการเติบโตของ GDP ที่ร้อยละ 0.8 และร้อยละ 2.8 ในปี 2557 และ 2558 ตามลำดับ] อาจสะท้อนว่า รายได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศของไทยกำลังมีบทบาทความสำคัญเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต โดยประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ในรอบ 4 จาก 5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนไทยเริ่มขยายโอกาสการลงทุนไปต่างประเทศ ทั้งเพื่อแสวงหาประโยชน์จากฐานการผลิตที่มีต้นทุนที่ต่ำลงกว่าภายในประเทศ และควบรวมกิจการเพื่อขยายโอกาสการทำตลาดในต่างประเทศ ซึ่งทิศทางดังกล่าว ทำให้ไทยพลิกกลับมามีฐานะเป็น “ผู้ลงทุนโดยตรงสุทธิ” ทั้งนี้ แม้กำไรและดอกผลที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในต่างประเทศส่วนนี้ จะยังไม่กลับมาปรากฏอย่างเด่นชัดมากนักในมูลค่า GNP ในภาพรวม แต่ก็อาจเป็นนัยว่า รายได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศของบุคคลและนักธุรกิจสัญชาติไทย น่าจะทยอยเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภายใต้บริบทของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่เน้นการขับเคลื่อนจากภาคบริการมากขึ้น (สัดส่วนของมูลค่ากิจกรรมภาคบริการขยับขึ้นมาอยู่สูงกว่าร้อยละ 58 ของ GDP ในปี 2558) ทำให้การประเมินสถานการณ์ของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม จำเป็นต้องวิเคราะห์ภาพจากองค์ประกอบหลายๆ ด้านเข้าด้วยกัน โดยสำหรับภาคการส่งออกนั้น แม้จะยังคงมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 70 ของ GDP ในแต่ละปี แต่หากดูลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว จะพบว่า สัดส่วนของการส่งออกสินค้าทยอยลดบทบาทลงและถูกแทนที่ด้วยการส่งออกบริการ (อาทิ ค่าท่องเที่ยว ค่าขนส่ง ค่าบริการส่วนบุคคล) ขณะที่ การติดตามภาวะการลงทุนของภาคเอกชนนั้น ก็อาจต้องครอบคลุมทั้งในส่วนที่เกิดขึ้นในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถสะท้อนภาพการค้าและกิจกรรมของภาคธุรกิจไทยได้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น สำหรับการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเศรษฐกิจในภาพรวม จึงไม่จำเป็นต้องเลือกเพียงมาตรวัดเพียงตัวใดตัวหนึ่ง เพราะการวิเคราะห์ห์ข้อมูล GDP และ GNP ควบคู่กัน จะทำให้สามารถประกอบภาพในมุมกว้าง และเข้าใจการเชื่อมโยงของกิจกรรมในภาคส่วนต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ อีกหัวใจสำคัญของการพัฒนาเครื่องชี้วัดด้านเศรษฐกิจ ก็คือ ความรวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูล เพราะจะช่วยให้สามารถประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยได้อย่างครอบคลุมและเท่าทันต่อสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย