จากการที่ประเทศไทยในแต่ละปีสามารถขยายมูลค่าการส่งออกมันสําปะหลังผลิตภัณฑ์รวมไม่ต่ำกว่าปีละ 9 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะมันเส้นและกากมันสามารถคลองตลาดจีนได้ถึง 80% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด ดังนั้นหากเกษตรกรผู้ปลูกของไทยเจอกับโรคใบด่างจะทำให้มีผลกระทบโดยตรง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยว่าได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอธิบดีกรมวิชาการเกษตรเรียกประชุม และอธิบดีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ตรวจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อระดมสมองหาแนวทางแก้ไขปัญหาเช่น วิธีระงับปัญหา มาตรการสกัดกั้น การเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรที่ผลผลิตประสบโรคระบาด และให้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นๆเพื่อระดมกำลังแก้ไขปัญหาด้วย
“สำหรับมาตรการเร่งด่วน ให้มีการควบคุมพื้นที่ที่พบการระบาด เช่น ตรวจยืด/ควบคุม/จำกัดบริเวณท่อนพันธุ์ พาหะโรค เพื่อรอการทำลาย และควบคุมมิให้เคลื่อนย้ายพาหะไปยังพื้นที่อื่น ๆ การระดมวัสดุ/สารเคมีฆ่าเชื้อ และปฏิบัติการทำลายพาหะโรค 3. การบันทึก/พิสูจน์/ตรวจวิเคราะห์ทางห้อง lab เพื่อนำไปสู่การประกาศเขตระบาดโรค และให้การช่วยเหลือตามระเบียบ”
4.การตั้งด่านสกัดกั้น และหาข่าวการลักลอบเคลื่อนย้ายท่อนพันธุ์/พาหะโรค ตามแนวชายแดน และ รอบพื้นที่รัศมีการระบาด 5. ในพื้นที่รอบรัศมีการระบาด/หรือมีความเสี่ยง ให้ จนท เกษตรจังหวัด อำเภอ ตำบล อาสาสมัครเกษตร ร่วมกับ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด ตรวจเยี่ยม แนะนำ และกำกับ ให้เกษตรกรได้จัดการแปลงมันฯ ตามหลักวิชาการ (ค้นหาโรค พ่นสารเคมีทำลาย /ป้องกัน) 6.ระดมสรรพกำลัง เจ้าหน้าที่ และให้ความรู้ก่อนปฏิบัติการตามข้อ 1-4
7.เตรียมงบประมาณเพื่อการจัดหาวัสดุ เครื่องมือ ในการปฏิบัติการ 8. ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร สร้างการรับรู้ แก่เกษตรกร ภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และ องค์กรระหว่างประเทศ ด้านระบาดวิทยา 9.ปฏิบัติการค้นหาโรค scaning/ surviellance อย่างต่อเนื่องและครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง 10.ปฏิบัติการร่วมประเทศเพื่อนบ้านเพื่อค้นหาโรคและทำลาย (ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) และ 11. เตรียมห้อง Lab เครื่องมือตรวจวิเคราะห์โรค เพื่อรองรับตัวอย่างที่ส่งตรวจ วินิจฉัย และรายงานโรค ที่เป็นสากล
แหล่งข่าวกระทรวงพาณิชย์ เผย การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยปี 2561 มูลค่ารวม 9.96 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นมันสำปะหลังอัดเม็ดและมันเส้น 2.84 หมื่นล้านบาท แป้งมันสำปะหลัง 4.4 หมื่นล้านบาท ตลาดส่งออก 5 อันดับได้แก่ 1.ประเทศจีน 2.ญี่ป่น 3.อินโดนีเซีย 4.ไต้หวัน และ 5.มาเลเซีย