"แม็คกรุ๊ป" กางแผนธุรกิจปี 2020-2022 เดินหน้าสร้าง New S-Curve ชู 4C กลยุทธ์หลักภายใต้จุดแข็ง Big Data เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภค สู่การเป็น Denim Centric Lifestyle Brand พร้อมดึง “โตโน่-ภาคิน” ต่อยอดฐานลูกค้าสร้างการเติบโต พร้อมปักธงนำพาองค์กรสัญชาติไทยขึ้นเทียบชั้นมาตรฐานระดับโลก
นางชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วิสัยทัศน์หลักของการทำงานภายหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา จะให้ความสำคัญกับการปรับตัวภายใต้กลยุทธ์มุ่งสร้าง New S-Curve ด้วยการต่อยอดธุรกิจหลักภายใต้จุดแข็งด้าน Value Chain สู่การเป็น Denim Centric Lifestyle Brand รองรับกระแสความความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบัน เพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างการเติบโตได้ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดค้าปลีกภายในประเทศที่ยังมีความท้าทายอยู่มาก ขณะที่ตลาดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแฟชั่น (Fashion Apparel Market) มีแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้น จากการเข้ามาของแบรนด์ต่างประเทศ
โดยแผนงานของแม็คกรุ๊ปฯจะให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจ ผ่านกลยุทธ์หลัก 4C ประกอบด้วย 1.Customer-centric and Data-driven Approach การใช้ Big Data ที่มีมายาวนานกว่า 45 ปี มาวิเคราะห์เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ได้อย่างตรงจุด 2.Customer Base Expansion มุ่งออกแบบและพัฒนาสินค้า ควบคู่ไปกับการเพิ่มช่องทางจำหน่าย เชื่อมต่อออฟไลน์ที่มีกว่า 600 จุดในปัจจุบันเข้ากับออนไลน์ (O2O) อย่างไร้รอยต่อ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการช้อปปิ้ง รวมถึงการขยายความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมทัพ ล่าสุดได้ดึงตัว “โตโน่ ภาคิน” เข้ามาเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ในการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มดังกล่าว
และ3.Connected Supply-chain เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานให้ครบวงจร เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและการบริการที่ดีต่อลูกค้าในทุกจุดจำหน่าย และ 4.Captivated Brand Experience สร้างประสบการณ์ที่ดีในแบรนด์สินค้า ผ่านคอนเซ็ปต์ Authentic Chic (ชิคในแบบของคุณ) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีความแตกต่างและหลากหลาย
ทั้งนี้บริษัทมุ่งสร้าง New S-Curve ด้วยการเชื่อมต่อ Platform offline กับ online เข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและความสะดวกของลูกค้าให้มากขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ B O S S ( Buy Online Ship at Shop) ส่วนในด้านตลาดต่างประเทศ บริษัทเดินหน้าขยายตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงประเทศอิหร่านที่เรามีฐานธุรกิจอยู่แล้ว พร้อมการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรไทย สู่ความเป็นสากล โดยวางเป้าหมายการเติบโตในสิ้นปีนี้ที่ 8-10%
“เรามองเห็นโจทย์ที่เราต้องแก้ และรู้ว่าอนาคตเราอยากไปไหน จุดสำคัญก็คือเรื่องของการบริหารจัดการ และสร้าง Business Model ที่เหมาะสมกับเรา ท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย เราต้องมี Value Chain ที่มีประสิทธิภาพ สร้าง Brand Value ให้ เพิ่มขึ้น รวมถึงมี Product Assortment ที่ตอบโจทย์ลูกค้า เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าใหม่” นางชนัญญารักษ์กล่าว