การใช้งานอินเตอร์เน็ตกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก จนกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเลต หรือแม้กระทั่งสมาร์ททีวี ที่ใช้การเชื่อมต่อผ่านระบบ WI-FI การชำระเงินที่ผ่านระบบ Payment Gateway ที่มีความปลอดภัยสูงมาตรฐานสากล โดยสามารถเลือกชำระค่าบริการผ่านบัตรเครดิต หรือเดบิตได้อย่างสะดวกสบาย จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจสตรีมมิ่งทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
เมื่อสตรีมมิ่งได้รับความนิยม ผู้เล่นในธุรกิจสื่อ, ผู้ผลิตคอนเทนต์ ต่างต้องรีบวิ่งตามผู้บริโภคให้ทัน พร้อมทั้งรีบชิงเข้าไปจับมือเป็นพันธมิตรกับสตรีมมิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Line TV, Joox, Viu, Netflix ฯลฯ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ
ล่าสุดเจ้าของViu (วิว) ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งผ่านระบบอินเตอร์เน็ต (OTT) จาก PCCW Media Group ที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 36 ล้านคนต่อเดือน ได้ร่วมมือกับค่ายใหญ่สื่อบันเทิงของประเทศไทยอย่าง GMM Grammy เป็นปีที่ 2 โดยนำคอนเทนต์ช่อง GMM25 สู่แพลตฟอร์มของ Viu ขณะเดียวกันปีนี้ยังได้เพิ่มคอนเทนต์จาก GMM MUSIC GMM TV และ CHANGE 2561 มาไว้ในแพลตฟอร์ม Viu Thailand มากขึ้น
นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าจากนี้เป็นต้นไปจะเห็นจีเอ็มเอ็ม มิวสิค เป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มต่างๆ หรือพาร์ตเนอร์รายอื่นๆ มากขึ้น เนื่องจากการทำธุรกิจยุคนี้เราเชื่อว่าการ Collaboration หรือร่วมมือกันสำคัญ และล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับ Viu ในการขยายอุตสาหกรรมเพลงของ GMM Music ไปยังแพลตฟอร์มดังกล่าวรวมถึงแพลตฟอร์มอื่นๆในอนาคต
“การร่วมมือกับ Viu ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจเพลง เราเข้าใจดีว่าเพลงนั้นมีมิติมากกว่าแค่การฟังหรือดู ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคได้หันไปเสพคอนเทนต์ผ่านออนไลน์มากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นสิ่งที่เน้นย้ำให้เราเห็นถึงความสำคัญในการทำคอนเทนต์ร่วมกับ Viu ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากคอนเทนต์เพลงแล้ว บริษัทยังมุ่งผลิตคอนเทนต์ต่างๆ ให้โดนใจผู้ชมที่หลากหลาย เช่น การท่องเที่ยวและอาหาร รายการวาไรตี บันเทิง และเกมโชว์ รวมถึงรายการจากศิลปินชื่อดัง เป็นต้น แม้กระทั่งช่อง 3 ที่เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ร่วมมือกับ Netflix นำ 2 ละครดัง คือ ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง และ บุพเพสันนิวาส ละครที่สร้างกระแสชุดไทยนำไปออกแพลตฟอร์มบน Netflix เนื่องจากช่อง 3 มองว่าละครไทยปัจจุบันถูกจริตคนเอเชีย และ CLMVมากขึ้น รวมทั้งการจับมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆยังเป็นช่องทางรายได้ใหม่ที่ดีขึ้น”
ขณะที่นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด(มหาชน) หรือช่อง 3 กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ธุรกิจในโลกปัจจุบันแตกต่างจากอดีต ซึ่งไม่สามารถแข่งขันบนพื้นฐานการแข่งขันรูปแบบเดิมได้ แต่วันนี้เราต้องพาธุรกิจสื่อทีวีเข้าไปสู้ 2 สนามจากการที่มีสื่อดิจิทัลเพิ่มเข้ามา
“วันนี้ผมขอไม่สู้บนสนามรบแบบเดิม แต่ผมขอสู้สนามรบใหม่ หาโอกาสใหม่ และเนื้อหาคอนเทนต์ยังคือหัวใจหลักที่พาเราไปสู่การเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่ๆ ซึ่งในปัจจุบันช่อง 3 ยังคงพึ่งพารายได้หลักจากงบโฆษณา 80% อื่นๆ 20% ซึ่งอนาคตตั้งเป้าให้ช่องทางรายได้ใหม่ที่สร้างขึ้นมาขยับสัดส่วนเพิ่มเป็น 50% ทดแทน”
ขณะที่ในด้านของ BEC-Tero Music เองแม้จะเป็นค่ายเพลงก็ตาม เมื่อคู่แข่งเยอะขึ้นและทุนเดิมที่มีอยู่อย่างคลังเพลงจำนวนมหาศาลจึงได้จับมือสตรีมมิ่งเพลง Joox ผุดโปรเจ็กต์พิเศษ “SEVEN JOURNEY 7 นี้… อีกนาน” โดยนำเพลงเก่าถ่ายทอดผ่านศิลปินใหม่และทำนองใหม่เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผู้ฟังให้หลากหลายมากขึ้น
เช่นเดียวกับสตรีมมิ่ง LINE TV ที่ตั้งเป้าสู่การเป็น ทีวีออนไลน์ของคนไทย โดยเน้นการขยายบริการให้เข้าถึงกลุ่มผู้ชมให้มากยิ่งขึ้น โดยมีกลยุทธ์สำคัญคือการเลือกคอนเทนต์ที่อยู่ในความสนใจของผู้ชมทั่วประเทศ ทั้งในส่วนของออริจินัลคอนเทนต์และที่ LINE TVลงทุนสร้างเพื่อให้ชมที่แพลตฟอร์มของ LINE TV เท่านั้น และในช่วงกลางปีที่ผ่านมายังได้จับมือกับช่องเวิร์คพอยท์ผลิตคอนเทนต์ รายการวาไรตีบันเทิง
โดยนายชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัล บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การร่วมมือนี้นับเป็นมิติใหม่ที่นำคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ มาสร้างปรากฏการณ์รีรันทางแพลตฟอร์มทีวี ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพราะนอกจากช่องเวิร์คพอยท์จะมีคอนเทนต์ที่เป็นวาไรตีระดับตำนานที่มีความสนุกเพิ่มขึ้นแล้ว การนำมารีรันทางช่องเวิร์คพอยท์ จะยิ่งทำให้รายการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมมากขึ้นอีกด้วย
หน้า 31-32 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,527 วันที่ 1-4 ธันวาคม 2562