‘โคโรนา’ กับดักใหญ่ธุรกิจท่องเที่ยว ส่อติดลบครั้งแรกในรอบ6ปี

29 ม.ค. 2563 | 23:00 น.

การที่รัฐบาลจีนทยอยสั่งให้บริษัทนำเที่ยวหยุดจัดทัวร์นำนักท่องเที่ยวจีนเดินทาง ออกไปทั่วโลก ซึ่งจะมีผลในทุกมณฑล ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2563  เพื่อแก้ปัญหาไวรัสโคโรนานับเป็นมรสุมลูกใหญ่ของการ ท่องเที่ยวไทยปีนี้

คาดต่างชาติลดลง 6-7%

เนื่องจากก่อนหน้านี้แค่เจอปัจจัยลบอย่างสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา-จีน เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเงินบาทแข็งค่า ก็ทำให้เป้าหมายการท่องเที่ยวของไทยที่วางไว้ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีทางไปถึงเป้าอยู่แล้ว 

จากเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ว่าจะมีต่างชาติเที่ยวไทย 41.8 ล้านคน สร้างรายได้รวม (ไทย+ต่างชาติ) 3.38 ล้านล้านบาท ก็มีแนวโน้มว่าจะได้จริงแค่ 40.8 ล้านคน สร้างรายได้รวม (ไทย+ต่างชาติ) 3.18 ล้านล้านบาท พอมาเจอเรื่องไวรัสโคโรนาเข้าไปอีก แค่แนวโน้มที่ว่าจะได้ 40.8 ล้านคน ตอนนี้ก็ยังต้องลุ้นแล้วสำหรับวันนี้

ปัญหาโรคระบาด เป็นผลกระทบหลักที่ฉุดการติดลบของนักท่องเที่ยว อย่างช่วงที่เกิดโรคซาร์สในปี 2546 ต่างชาติเที่ยวไทยลดลง 7.4% โดยนักท่องเที่ยวจีนหายไปร่วม 1.91 ล้านคน หรือแม้แต่โรคไข้หวัดนกในปี2552 ตอนนั้นต่างชาติเที่ยวไทยลดลง 6.5% โดยนักท่องเที่ยวจีนหายไป 4.9 หมื่นคน

ในปีนี้เมื่อมีไวรัสโคโรนาแพร่ระบาด ก็คาดว่าน่าจะส่งผลกระทบให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยหดตัวราว 6-7% หรือหายไปกว่า 2.7 ล้านคนโดยประมาณ ทำให้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ราว 38 ล้านคนเท่ากับช่วงปี 2561 และจะเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 6 ปี นับจากเหตุรัฐประหารในไทยเมื่อปี 2557 ซึ่งตอนนั้นไทยมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 24.8 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 26.5 ล้านคน ยกเว้นว่าจะมีการขยายฐานนักท่องเที่ยวจากตลาดอื่นเข้ามาทดแทนตลาดจีนที่หายไปได้

 

‘โคโรนา’ กับดักใหญ่ธุรกิจท่องเที่ยว  ส่อติดลบครั้งแรกในรอบ6ปี

 

 เร่งโหมตลาดอื่นทดแทน

ทั้งนี้หากเทียบเคียงกับเมื่อปี 2546 ที่เกิดการระบาดของกรณีโรคซาร์ส รัฐบาลจีนก็ได้ประกาศมาตรการยุติการทำทัวร์เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อรับมือต่อการแพร่ระบาดของโรคเช่นกัน นี่เองจึงทำให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่าการท่องเที่ยวของไทย จะได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งถือว่ากระทบมาก เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซัน


 

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการททท. เผยว่า ททท.ได้ประเมินผลกระทบในกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นคือ จากการประกาศมาตรการยุติทำทัวร์ในเบื้องต้นราว 3 เดือน หรือจนถึงเดือนเมษายน 2563 ไทยจะสูญเสียนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 70%  หรือหายไปราว 1.89 ล้านคน จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ปกติจะเดินทางเข้ามาเที่ยวราว 2.7 ล้านคน คาดว่ารายได้จะหายไปราว 9.45 หมื่นล้านบาท (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 5 หมื่นบาทต่อคน)

ยุทธศักดิ์ สุภสร

เนื่องจากแม้ไทยจะมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนกรุ๊ปทัวร์ 40% และการเดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง (เอฟไอที) 60% แต่การที่จีนห้ามเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ แต่เอฟไอทียังเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ด้วยบรรยากาศการแพร่ระบาดของไวรัส ก็เชื่อว่าจะกระทบการเดินทางในกลุ่มเอฟไอทีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลจีนสามารถควบคุมการระบาดได้เร็วขึ้น ก็อาจจะมีการประเมินผลเสียหายอีกครั้งหนึ่ง

แนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ททท.ต้องรุกการขยายตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่เข้ามาทดแทน เพื่อคงให้ปีนี้ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40.8 ล้านคนตามแนวโน้ม โดยจะโฟกัสนักท่องเที่ยวจากอาเซียน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันออก เป็นต้น

 

ธุรกิจอ่วมเป็นลูกโซ่

การหดตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวทั้งระบบลามเป็นลูกโซ่ โดยเฉพาะการขาดสภาพคล่องสำหรับธุรกิจที่รองรับตลาดจีน ซึ่งธุรกิจเอสเอ็มอีจะอยู่ได้ลำบากมาก เพราะแม้โรงแรมต่างๆจะไม่ได้ยึดค่ามัดจำในการจอง แต่ขอให้เลื่อนเวลาออกไป แต่ก็ทำให้บริษัทที่สายป่านไม่ยาว ทนไม่ไหวและเรียกร้องขอให้คู่ค้ามีการคืนเงินมัดจำแทน

ขณะที่โรงแรมระดับเอสเอ็มอีก็จะอยู่ได้ลำบากมาก เมื่อต้องเผชิญกับสงครามราคาที่จะเกิดขึ้นหนักมาก เพื่อดึงลูกค้าเข้ามาพัก เช่นเดียวกับธุรกิจสายการบิน ที่บักโกรกไม่แพ้กัน เพราะหลายสายมีฐานลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวจีน สิ่งที่จะตามมาคือการยกเลิกและลดเที่ยวบิน ที่จะยิ่งทำให้ธุรกิจนี้ที่เดิมก็ยํ่าแย่อยู่แล้วยิ่งไปกันใหญ่

 

รายงาน โดย ธนวรรณ วินัยเสถียร 

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,544 วันที่ 30 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ 2563