ซิซซ์เล่อร์ฯ ชี้แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารเมืองไทยแข่งเดือดต่อเนื่อง เตรียมเปิด 4 สาขาใหม่รับการเติบโต ประเดิมคอนเซ็ปต์ใหม่ GLASS HOUSE พร้อมทุ่มงบ 200 ล้านบาททำตลาดครบวงจร เดินหน้าเสริมแกร่งแบรนด์เจาะฐานนักชิมรุ่นใหม่ มั่นใจสิ้นปีโกยยอดขายเติบโต 13%
นางนงชนก สถานานนท์ ผู้ช่วยรองประธานบริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เอส แอล อาร์ ที จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้าน "ซิซซ์เล่อร์" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ภาพรวมการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารเมืองไทยปัจจุบันรุนแรงในทุกเซ็กเมนต์ ทั้งนี้เป็นผลจากการที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้าทำตลาดในเมืองไทยเพิ่มขึ้นทั้งรายใหญ่และรายเล็ก และในส่วนบริษัทเองเพื่อรองรับการแข่งขันที่เกิดขึ้นจะให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพและเมนูที่หลากหลายเป็นหลัก ควบคู่กับการขยายสาขาในย่านที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพ โดยในปีนี้มีแผนขยายสาขาทั้งสิ้น 4 แห่ง ได้แก่ เมกา บางนา, เซ็นทรัล ระยอง ส่วนอีก 2 แห่งอยู่ระหว่างการหาทำเล โดยใช้งบลงทุน 20-22 ล้านบาทต่อสาขา จากปัจจุบันที่มีสาขาทั้งสิ้น 46 แห่ง
ล่าสุดบริษัทใช้งบ 20 ล้านบาทเปิดร้านซิซซ์เล่อร์คอนเซ็ปต์ใหม่ สาขาแรกในศูนย์การค้าเมกา บางนา บนพื้นที่ 375 ตร.ม. รองรับได้ 152 ที่นั่ง ด้วยการตกแต่งแบบเรือนกระจก (GLASS HOUSE) และการจัดโซน "มูลนิธิโครงการหลวง" นำสมุนไพรซึ่งถือเป็นวัตถุดิบหลักในการทำอาหารทั้ง 9 ชนิด อาทิ โรสแมรี่, ยูเอสเอมิ้นท์, สวีทเบซิล ฯลฯ มาวางจำหน่ายภายในร้านในราคาต้นละ 90 บาท (รายได้ทั้งหมดมอบให้โครงการหลวง) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ในร้าน เพื่อสร้างสรรค์บรรยากาศร่มรื่น โดยการขยายสาขารูปแบบดังกล่าวต่อไปนั้นอยู่ระหว่างการศึกษาทำเลและรอผลตอบรับจากสาขาแรก
ด้านกลยุทธ์การทำตลาด บริษัทเตรียมงบประมาณราว 200 ล้านบาทสำหรับทำกิจกรรมตลอดทั้งปี เพื่อสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ การสื่อสารเพื่อเน้นย้ำจุดยืนในเรื่องของคุณภาพอาหาร รวมถึง ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งบริษัทจะให้ความสำคัญในการนำมาใช้เพื่อขยายฐานลูกค้ามากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงาน เพิ่มขึ้น จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าของร้านเป็นกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก
"ปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยเริ่มทำงานมีสมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ กันแทบทุกคน ดังนั้นเราจึงคิดว่าหากต้องการสร้างแบรนด์ที่เหนียวแน่นและการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการให้เข้าถึงมากที่สุดช่องทางการตลาดในรูปแบบดิจิตอลคือสิ่งจำเป็น"
พร้อมกันนี้ยังมีการจัดโปรโมชันต่างๆ เพื่อกระตุ้นการบริโภคอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะการหมุนเวียนเมนูอาหารใหม่ๆ ทุก 3 เดือน การจัดโปรโมชันอาหารราคาพิเศษทุกวันพุธและศุกร์ และในมื้อกลางวันโดยได้เตรียมเปิดตัวแคมเปญใหม่ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ในชื่อ "Summer Seafood Festival" ออกมารองรับในช่วงดังกล่าวที่มีผู้บริโภคนิยมออกมารับประทานอาหารนอกบ้านเพิ่มขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมไปถึงมาตรการกระตุ้นกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ทางภาครัฐออกมานั้น เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจอาหารในประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยในส่วนของบริษัทเองตั้งเป้าการเติบโตในปีนี้ไว้ที่ 13% จากปีที่ผ่านมาที่มีการเติบโต 10%
photo :
Hajime NAKANO
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,145 วันที่ 3 - 6 เมษายน พ.ศ. 2559