นายแอนดรูว์ กลาส ผู้อำนวยการ บริติช เคานซิล ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริติช เคานซิล องค์กรนานาชาติเพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา ศิลปะ และวัฒนธรรมแห่งสหราชอาณาจักร ยังคงเดินหน้าสานความร่วมมือไทย – อังกฤษอย่างต่อเนื่อง มุ่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับผู้คนทั่วโลก โดยจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างประเทศไทยและสหราชอาณาจักร ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้คนในทางที่ดีขึ้นด้วยการสร้างโอกาส สร้างเครือข่าย และสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน ซึ่งบริติช เคานซิล ประเทศไทย ยังคงมุ่งเน้นการทำงานใน 3 ด้าน ได้แก่ ภาษาอังกฤษ อุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
“ปัจจุบันมีคนใช้ภาษาอังกฤษหรือกำลังเรียนภาษาอังกฤษกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก และทักษะภาษาเป็นหนึ่งในซอฟท์สกิลที่สำคัญที่สุดของเยาวชนในอาเซียน โดยประเทศไทยยังคงมีอุปสรรคด้านภาษาอังกฤษอันเกิดจาก ความไม่เท่าเทียม ทักษะภาษาของครูผู้สอน วิธีการสอน และวิธีการวัดผล ”
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงปัญหาในภาพรวมด้านภาษาอังกฤษของประเทศไทย สามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเด็นหลัก คือ ค่าดัชนีความไม่เท่าเทียม ทักษะภาษาอังกฤษของครูผู้สอน วิธีการสอนภาษาอังกฤษ และวิธีการวัดผล เมื่อรวมกับปัญหาระดับบุคคล ที่เราต่างอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ในปี 2563 บริติช เคานซิล จะนำเสนอทางเลือกในการพัฒนาภาษาอังกฤษอย่างรอบด้านในทุกระดับ ตั้งแต่เรียนการสอนไปจนถึงการสอบ ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล โดยบริติช เคานซิลได้มีการหารือกับกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการพัฒนาศักยภาพครู และการสอนภาษาอังกฤษในระดับโรงเรียน มหาวิทยาลัยที่ผลิตครู พร้อมๆ กับการขยายเครือข่ายโรงเรียนและมหาวิทยาลัย (partner schools) การพัฒนาและขยายบริการด้านการสอบเพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้สอบมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเปิดตัวหลักสูตรปรับปรุงใหม่ของส่วนโรงเรียนสอนภาษา
“สหราชอาณาจักร เป็นจุดหมายที่คนไทยเลือกศึกษาต่อมากที่สุดเป็นอันดับ 1 มากถึง 43% และสหราชอาณาจักรมีโมเดลการทำงานร่วมกันระหว่างภาคอุดมศึกษา ภาครัฐ และภาคธุรกิจ ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญของการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าด้วยการเพิ่มมูลค่าด้วยนวัตกรรม”
นายแอนดรูว์ กล่าวเสริมว่า สำหรับด้านอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์ สหราชอาณาจักรถือว่าเป็นจุดหมายหลักด้านอุดมศึกษาของคนไทย โดยจากสถิติจากปี 2560/61 มีนักศึกษาไทยเลือกศึกษาต่อที่สหราชอาณาจักรมากถึง 6,785 คน หรือคิดเป็น 43% จากจำนวนนักศึกษาไทยที่เลือกศึกษาต่อต่างประเทศจำนวน 15,738 คน โดยรองลงมาเป็น สหรัฐอเมริกา 37% ออสเตรเลีย 16% และแคนาดา 4% โดย 5 สาขาวิชาที่คนไทยเลือกเรียนต่อมากที่สุด ได้แก่ สาขาการจัดการธุรกิจ จำนวน 41% สาขาวิศวกรรมและเทคโนโลยี จำนวน 11.5% สาขาสังคมศาสตร์ จำนวน 7% สาขากฎหมาย จำนวน 6.4% และสาขาการออกแบบและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ จำนวน 5% โดยในปีนี้ยังคงเดินหน้าส่งเสริมการศึกษาต่อสหราชอาณาจักร ผ่านการจัดนิทรรศการต่อสหราชอาณาจักร รวมไปถึงทุนการศึกษาต่างๆมากมาย
อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงสถานการณ์ภาพรวมของภาคอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ที่เทรนด์ของโลกและทิศทางของรัฐบาลที่เน้นย้ำในเรื่องของ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว) ประกอบกับบทบาทที่เปลี่ยนไปของมหาวิทยาลัย ที่จะต้องเปลี่ยนจากการสอนแบบเลคเชอร์ในห้องเรียน เป็นการปฏิบัติจริง ประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อพัฒนาสังคม
สำหรับด้านศิลปะและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หัวใจที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจสร้างสรรค์คือการกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยคนไทยมีทักษะฝีมือด้านหัตถกรรมที่โดดเด่นและประกอบอาชีพด้านงานหัตถกรรมมากถึงกว่า 300,000 คน และมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนให้การสนับสนุนอย่างมากมาย แต่ส่วนมากยังเป็นการสนับสนุนที่ไม่ครบวงจรและทับซ้อนกันเองอยู่มาก ประกอบกับปัญหาในเรื่องมุมมองของคนไทยที่มีต่อมูลค่าของงานหัตถกรรม ที่มองว่างานหัตถกรรมเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันและไม่ได้มีมูลค่าสูง การแข่งขันในตลาดปัจจุบันจึงแข่งกันที่ราคา ทำให้ธุรกิจงานหัตถกรรมที่เป็นหนึ่งปัจจัยที่สำคัญของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยยังไม่เติบโตเท่าที่ควร โดยที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักร กลุ่มนักออกแบบชาวไทย และชาวบ้าน ช่างฝีมือ กว่า 3,000 คน และกว่า 200 แบรนด์ เพื่อเสริมสร้างทักษะฝีมืองานหัตถกรรมท้องถิ่น และในปีนี้ บริติช เคานซิล จะสนับสนุนการเติบโตของเครือข่ายงานหัตถกรรมควบคู่กับการเร่งพัฒนาทักษะการประกอบธุรกิจเพื่อสังคม เตรียมเดินหน้าโครงการส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจงานคราฟท์ในรูปแบบกิจการเพื่อสังคม (Craft social enterprise) และโครงการพัฒนาบทบาทของศูนย์รวมความคิดสร้างสรค์เพื่อพัฒนาพื้นที่ และเศรษฐกิจ