นายเออเว่ เอเลียส ประธานกรรมการบริหารและประธานกลุ่มบริษัท มาซาร์ส (Mazars)บริษัทที่ปรึกษาทางภาษี ผู้สอบบัญชีและที่ปรึกษาการดำเนินธุรกิจข้ามชาติ กล่าวว่า การรีแบรนด์ใหม่ครั้งนี้เพื่อสะท้อนความสำเร็จของกลุ่มในการขยายกิจการให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและสมดุลมาโดยตลอด โดยในปีที่ผ่านมา (ปีงบการเงิน 2561/2562) กลุ่มบริษัทมาซาร์สมีรายรับสูงถึง 1.8 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้น 10.4% จากปีที่แล้ว (ไม่รวมกับรายได้พิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนอีก 0.2%) ซึ่งอัตราการเติบโตของรายได้ดังกล่าวเป็นการเติบโตจากส่วนการดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง หรือ organic growth ถึง 9 % อีกทั้งยังสะท้อนถึงวิวัฒนาการของ มาซาร์ส ที่เติบโตอย่างมั่นคงมาโดยตลอดจนกลายเป็นกลุ่มธุรกิจระดับนานาชาติ ปัจจุบัน มาซาร์สดำเนินธุรกิจในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก มีบุคลากรรวมเกือบ 40,000 คน
การขยายธุรกิจไปยังนานาประเทศเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้มาซาร์ส มีอัตราการเติบโตของรายได้ที่มั่นคง ด้วยแหล่งรายได้ที่กระจายกันออกไปในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ปัจจุบัน มากกว่าหนึ่งในสามของรายได้ค่าธรรมเนียมบริการของกลุ่มมาจากธุรกิจนอกทวีปยุโรป โดยรายได้จากภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตสูงสุดอยู่ที่ 22.6% ในปีงบ 2561/2562 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของรายได้รวม
“ทุกวันนี้ เรารับหน้าที่ผู้สอบบัญชีให้กับลูกค้าที่เป็นกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (Public Interest Entities: PIEs) อยู่เกือบ 2,000 รายทั่วโลกและกว่า 30% ของบริษัทจดทะเบียนในฝรั่งเศสก็เป็นลูกค้าเรา ในประเทศจีน เราให้บริการบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่อยู่เกือบ 140 แห่ง นอกจากนี้ เรายังให้บริการกับลูกค้าที่เป็นธุรกิจเอกชนและธุรกิจครอบครัวมากกว่า 50,000 ราย ซึ่งมีทั้งลูกค้าบุคคล ลูกค้าที่เป็นธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทข้ามชาติเก่าแก่อีกด้วย”
ปัจจุบัน ถึงแม้ว่าธุรกิจผู้สอบบัญชีมีสัดส่วนอยู่เกือบ 50% กลุ่มบริษัทมาซาร์ส ยังคงเดินหน้าพัฒนาการบริการในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับงานผู้สอบบัญชีและระบบควบคุมคุณภาพ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้วงการธุรกิจผู้สอบบัญชีพัฒนาอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
สำหรับธุรกิจในประเทศไทย นาย ร็อบ ฮูเรนคัมป์ ประธานกรรมบริษัท มาซาร์ส ประเทศไทย กล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าจะเติบโตขึ้นเป็นอันดับ 5 ในประเทศไทยจากปัจจุบันที่ประมาณอันดับ 6 ในตลาด ภายในสี่ปีข้างหน้า (2567)
ในแง่รายได้มาซาร์ส ประเทศไทยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้และจำนวนลูกค้าเฉลี่ยปีละประมาณ 11% เท่ากับอัตราการเติบโตในปีที่ผ่านมาซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
“ความได้เปรียบของเราคือเราขยายธุรกิจด้วยการร่วมเป็นพันธมิตรกับธุรกิจในท้องถิ่นรวมถึงร่วมบริหารกิจการร่วมกับโลคัลพาร์ทเนอร์ในทุก ๆ ประเทศ ทำให้เราทำงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและให้บริการลูกค้าในประเทศได้ด้วยมาตรฐานสากลเหมือนกันทั่วโลก ต่างจากบริษัทผู้สอบฯ รายอื่น ๆ ที่ใช้วิธีขยายสาขาด้วยการให้ใบอนุญาต โดยบริษัทท้องถิ่นที่ถือใบอนุญาตก็ต่างฝ่ายต่างทำธุรกิจของตัวเอง ความร่วมมือระหว่างเครือข่ายจึงไม่คล่องตัวเท่ากับของเรา”
นาย ร็อบ กล่าวว่าถึงแม้การชิงส่วนแบ่งตลาดจากเจ้าตลาดอย่างบิ๊กโฟร์ที่ถือครองตลาดถึง 95% ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทางบริษัทมองเห็นช่องว่างในตลาดที่บริษัทสามารถแทรกตัวเข้าไปได้ จากการที่ธุรกิจบิ๊กโฟร์มีขนาดใหญ่และดำเนินงานแบบต่างสาขาต่างทำธุรกิจ ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเรื่องความคล่องตัวในการประสานงานให้กับลูกค้าที่ต้องการลงทุนข้ามชาติ
ในระหว่างสถานการณ์โควิด นาย ร็อบ กล่าวว่าทุกธุรกิจทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้ามากน้อยต่างกันไป แต่ในวิกฤติยังมีโอกาส บางธุรกิจ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบหนักที่สุด แต่ธุรกิจดิจิทัลและสื่อสารกลับเติบโตอย่างมาก ดังนั้น ผู้ประกอบการอาจมองหาธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูงได้เพราะโควิด เขาแนะนำว่าในระหว่างนี้ ธุรกิจต่าง ๆ ต้องปรับตัวรับภัยโควิดออกเป็นระยะ โดยระยะเร่งด่วนให้คำนึงถึงกระแสเงินสดเป็นหลักต่อจากนั้น ก็จะเข้าสู่ระยะของการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเน้นการวางแผนกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจไปรอด