“ศักดิ์สยาม”มอบนโยบายทอท. จี้ 6 สนามบินเตรียมความพร้อมรัฐบาลทยอยผ่อนคลายการเดินทางระหว่างประเทศเข้าไทย ทั้งพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเดินหน้าลงทุนสนามบินสุวรรณภูมิ เริ่มจากซ่อมรันเวย์-แท็กซี่เวย์ มูลค่าการลงทุน4.7 พันล้านบาท เร่งขยายเฟส2 คาดเปิดบริการปี65 ย้ำสร้างนอร์ทเทอร์มินัลค่า4.2 หมื่นล้านบาท
วันนี้ (29 ตุลาคม2563) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) พร้อมมอบนโยบายในการทำงานให้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) หรือทอท.ใน 4 ประเด็นหลักดังนี้
1.การเตรียมพร้อมของทอท.ต่อกรณีที่รัฐบาลจะเริ่มผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยว / นักธุรกิจกลุ่มพิเศษเข้าประเทศได้ โดยตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เริ่มมีนโยบายผ่อนคลายการเดินทางระหว่างประเทศ โดยกำหนดให้ชาวต่างชาติกลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวที่มาพำนักในไทยในระยะยาว สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยมาตรการดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น
ทอท.ในฐานะผู้บริหารท่าอากาศยาน 6 แห่งในประเทศไทย คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งเปรียบเสมือนประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในการรองรับนักเดินทางที่จะเพิ่มมากขึ้น ตามมาตรการผ่อนคลายการเดินทางของรัฐบาล โดยจากจำนวนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศในปัจจุบันประมาณ 1,000 - 2,000 คน จะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้นทอท.จะต้องให้ความร่วมมือกับ ศบค.และกระทรวงสาธารณสุข ในการจัดเตรียมพื้นที่ และเครื่องมือในการตรวจคัดกรองผู้เดินทางให้พร้อมเทียบเท่ากับสนามบินชั้นนำในภูมิภาค เช่น สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ ที่กำลังเร่งพัฒนาการตรวจคัดกรองนักเดินทางให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 10,000 คนต่อวัน
ทอท.จะต้องเร่งจัดให้มีพื้นที่และเครื่องมือในการตรวจคัดกรองผู้โดยสาร เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในการเดินทางเข้าประเทศในแต่ละระยะตามนโยบายรัฐบาล ควบคู่กับการคำนึงถึงความปลอดภัยของคนไทยทั้งประเทศเป็นสำคัญ ด้วยกระบวนการ รับรองผู้โดยสารที่รัดกุม ไม่ให้มีจุดบกพร่องในกระบวนการตรวจคัดกรอง และการนำส่งผู้โดยสารเข้ากระบวนการกักตัว ทั้งในส่วนของภาครัฐ และโรงแรมสถานที่กักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine : ASQ)
2.พลิกวิกฤตเป็นโอกาสเดินหน้าซ่อมบำรุงทางวิ่ง (รันเวย์) ทางขับ (แท็กซี่ เวย์) และการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
จากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ส่งผลให้จำนวนเที่ยวบินทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศลดลงอย่างมาก จากเดิมที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) เคยมีเที่ยวบินมากกว่า 1,000 เที่ยวบินต่อวัน ปัจจุบันลดลงเหลือไม่ถึง 200 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งทอท.จะเปลี่ยนวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสในการซ่อมบำรุงรันเวย์ และแท็กซี่ เวย์ ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 700,000 ตารางเมตร และถูกใช้งานอย่างหนักตลอดกว่า 10 ปี
ปัจจุบันมีปัญหาความเสียหายของผิวทางในหลาย ๆ พื้นที่ อันเนื่องมาจากปัญหาระดับน้ำใต้ดิน และการใช้งานอย่างหนักดังกล่าว ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา การซ่อมบำรุงผิวทางเหล่านี้ ทำได้ยากมาก เนื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิ เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ดังนั้นในช่วงปีนี้ถึงกลางปี 2564 ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบให้จำนวนเที่ยวบินมีระดับไม่ถึงร้อยละ 30 ของขีดความสามารถการรองรับเที่ยวบินทั้งหมด จึงเป็นโอกาสอันดีของทอท. ในการบริหารจัดการตารางเที่ยวบินที่ว่างอยู่ โดยประสานงานกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ในการปิดผิวทางรันเวย์ และแท็กซี่ เวย์ บางส่วน เพื่อซ่อมแซมครั้งใหญ่
โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณดำเนินการ ประมาณ 4,700 ล้านบาท ซึ่ง ทอท.จะเร่งดำเนินการสำรวจ และปิดซ่อมแซมปรับปรุงพื้นที่รองรับผู้โดยสารต่าง ๆ ทั้งในส่วนรันเวย์ และ แท็กซี่ เวย์ รวมทั้งภายในอาคารผู้โดยสารให้แล้วเสร็จก่อนหมดภาวะโควิด-19 เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิ สามารถกลับมารองรับการเดินทางของผู้โดยสารได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. เร่งแผนขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส2 ซึ่งตามการรายงานของทอท. ด้านความคืบหน้าในการก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 หรือ SAT-1 ภาพรวมขณะนี้ได้ดำเนินงานแล้วเสร็จประมาณร้อยละ 95 คงเหลืองานตกแต่งภายใน และติดตั้งระบบต่างๆ เช่น สายพานลำเลียงกระเป๋า และรถไฟฟ้าขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Mover : APM) หลังจากนั้นจะเป็นการทดสอบการเตรียมความพร้อมการเปิดให้บริการ (Operation Readiness and Airport Transfer : ORAT) โดยคาดว่าจะทำการทดสอบระบบการปฏิบัติงานต่าง ๆ ร่วมกันแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2565
สำหรับภาพรวมโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 มีความล่าช้า มีสาเหตุจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้จำนวนแรงงานลดลง ไม่สามารถนำเข้าวัสดุ / อุปกรณ์ที่ผลิตจากต่างประเทศเข้ามาใช้ในโครงการได้ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศไม่สามารถเดินทางมาให้คำปรึกษาในการดำเนินการติดตั้ง และทดสอบการทำงานร่วมกันของระบบอุปกรณ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในอนาคต ทอท. จะเร่งรัดการดำเนินงาน ไม่ให้ล่าช้าไปกว่าแผนการดำเนินการในปัจจุบัน เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนที่จะกลับมาอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งในปี 2565 คาดว่าสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2565 ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจากปัจจุบัน 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ทอท.จะเร่งกำกับการก่อสร้างรันเวย์3 ให้แล้วเสร็จภายในกลางปี 2566 ตามกำหนดเวลา รวมทั้งให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติตามมาตรการในการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมระหว่างการก่อสร้าง และเยียวยาต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงด้วยการเร่งดำเนินการจ่ายเงินชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 หากแล้วเสร็จจะทำให้เพิ่มขีดความสามารถรองรับเที่ยวบินได้ 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เมื่อประกอบกับอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ทำให้ท่าอากาศยานสุวรรภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 90 ล้านคนต่อปี
4.ย้ำความจำเป็นในการขยายพื้นที่ให้บริการของ ทสภ.ในส่วนของส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion)
นอกเหนือจากการก่อสร้างโครงการในปัจจุบันทอท. จะเร่งรัดการดำเนินงานพัฒนาอาคารผู้โดยสาร ส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (นอร์ทเทอร์มินัล) ตามแผนการพัฒนา ทสภ.ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคม โดยทอท.จะเร่งดำเนินการสร้างความเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นในการก่อสร้าง และนำเสนอข้อมูลต่อคณะกรรมการ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อให้ทบทวนมติ ให้ความเห็นชอบในการดำเนินการ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
การก่อสร้าง North Expansion จะเป็นตัวหลักสำคัญในการรองรับการเดินทางของผู้โดยสารที่จะกลับมาฟื้นตัวในปี 2565 ด้วยการบริหารจัดการท่าอากาศยานตามมาตรการสาธารณสุขในการเตรียมพื้นที่รองรับการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ดังนั้น การก่อสร้าง North Expansion ที่จะมีพื้นที่อาคารผู้โดยสาร เพิ่มอีก 170,000 ตารางเมตร และพื้นที่ส่วนอาคารเทียบเครื่องบิน (Airside) อีก 125,000 ตารางเมตร มีพื้นที่เพิ่มสำหรับทั้งจุดตรวจลงตราคนเข้าเมือง (ตม.) และช่องตรวจค้นผู้โดยสาร รวมทั้งเพิ่มหลุมจอดประชิดอาคารอีก 14 หลุม จะช่วยให้ ทสภ.รองรับการเดินทางของผู้โดยสารได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
เมื่อเปรียบเทียบกับการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านตะวันออก (East Expansion) ซึ่งจะเพิ่มเพียงพื้นที่อาคารผู้โดยสาร 66,000 ตารางเมตร ไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้โดยสารแบบวิถีใหม่การเดินทาง (Transport New Normal) กล่าวคือ ไม่มีถนนหน้าอาคารเพิ่ม ไม่เพิ่มพื้นที่จุดตรวจ ตม. ไม่เพิ่มพื้นที่พักคอยภายในอาคารเทียบเครื่องบิน ไม่มีหลุมจอดประชิดอาคารเพิ่ม ผู้โดยสารต้องใช้ Bus Gate ทำให้ไม่ได้รับความสะดวก จึงไม่ตอบโจทย์ความต้องการเดินทางของประชาชนในระยะยาว
ดังนั้นการลงทุน 42,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ จะช่วยแก้ปัญหาความแออัดในอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 1 ทำให้ ทสภ.มีความยืดหยุ่นในการให้บริการมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ถึง 90 ล้านคน ซึ่งหากเริ่มดำเนินการในต้นปี 2564 จะแล้วเสร็จในปี 2567 ทันต่อสถานการณ์ในการรองรับผู้โดยสารที่จะกลับสู่การเดินทางอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
นอกจากนี้ นายศักดิ์สยาม และคณะผู้บริหารได้เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการชีวโมเลกุล ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยให้ ทอท. เตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างเพียงพอ กรณีที่รัฐบาลจะเริ่มผ่อนคลายการเดินทางระหว่างประเทศ ในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท.