"จุรินทร์"คุมเข้มห้างติดป้ายราคา ต้องลดจริง 70% ตามรับปาก

13 พ.ย. 2563 | 09:46 น.

จุรินทร์ สั่งตรวจราคาสินค้าและติดป้ายราคาตามโครงการ พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน Lot7 เพื่อประโยชน์ประชาชน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน ติดตามตรวจสอบการติดป้ายราคาในโครงการพาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชน Lot7 หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกับผู้ประกอบการทุกภาคส่วนนำลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงสุด 70% จำนวน 137,90 รายการระหว่างวันที่1- 30 พฤศจิกายน 2563 ทั้งนี้เพื่อบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิด-19และกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น

\"จุรินทร์\"คุมเข้มห้างติดป้ายราคา  ต้องลดจริง 70% ตามรับปาก

โดยหลังจากที่กระทรวงได้ดำเนินโครงการมาระยะหนึ่งได้รับรายงานว่าประชาชนให้ความสนใจอย่างมากในทุกจังหวัด ระหว่างนี้ ได้ให้ทุกสำนักงานพาณิชย์จังหวัดและกรมการค้าภายในติดตามนโยบายอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการติดป้ายราคาตามห้างสรรพสินค้าร้านค้าปลีกค้าส่ง ห้างท้องถิ่นที่ประกาศร่วมโครงการไปแล้วโดยต้องลดราคาและแสดงป้ายลดราคาอย่างชัดเจนให้ประชาชนสังเกตได้ตรวจสอบราคาได้ขนาดถนี้ได้เร่งรัดให้ประชาสัมพันธ์ของสำนักงานพาณิชย์แต่ละจังหวัดได้ประสานการประชาสัมพันธ์จังหวัดเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนรับรู้ไม่ให้เสียโอกาสในโครงการนี้ และขณะนี้พาณิชย์ทุกจังหวัดได้จัดตั้งกลุ่ม LINE Lot7 รายงานสถานการณ์การติดป้ายราคาและการลงพื้นที่สำรวจทุกห้างสรรพสินค้า รวมทั้งผู้ผลิตและจำหน่าย ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ห้างท้องถิ่นทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด

\"จุรินทร์\"คุมเข้มห้างติดป้ายราคา  ต้องลดจริง 70% ตามรับปาก

" ประชาชนผู้บริโภค จะได้ประโยชน์โดยการลดค่าครองชีพอย่างเต็มที่ในช่วงใกล้ส่งท้ายปีซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็จะมีข่าวดีช่วยประชาชนออกมาเรื่อยๆ หากมีปัญหาเรื่องป้ายราคาหรือสินค้าลดราคาไม่ตรงตามที่ประกาศไว้สามารถโทรสายด่วนได้ที่ 1569 กรมการค้าภายใน หรือสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานพาณิชย์แต่ละจังหวัด เมื่อมาบวกกันกับโครงการคนละครึ่ง ผู้บริโภคก็ยิ่งได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือ ถ้าสมมติว่าประชาชนหยิบเงินของตัวเองมา 1,000 บาท มาซื้อสินค้า รัฐบาลก็จะช่วยเหลืออีกครึ่ง ก็จะมีเงินในกระเป๋า 2,000 เวลามาซื้อสินค้าจากโครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ลด 70% เงิน 2,000 บาท แทนที่จะซื้อของได้ 2,000 ก็จะกลายเป็นซื้อได้ 3,400 บาท เท่ากับว่าควักเงินตัวเองมา 1 พัน ก็ได้ของกลับไป 3,400 บาท อันนี้คือมูลค่าเพิ่มและจะเป็นการช่วยในเรื่องการกระตุ้นการบริโภคของพี่น้องประชาชน และจะมีผลต่อ GDP ของภาครัฐ ของประเทศต่อไปด้วย "