เซ็นทารา ปั้นแบรนด์โคซี่ รุกนักเดินทางยุคดิจิทัล

โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ปัจจุบันมีทั้งหมด 81 แห่ง มีแบรนด์ภายใต้การบริหารโรงแรมทั้งหมดรวม 6 แบรนด์ ครอบคลุมเซ็กเมนต์ของโรงแรมที่มีหลากหลายระดับ ประกอบด้วยแบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟ, เซ็นทารา แกรนด์, เซ็นทารา โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท, เซ็นทารา บูทีค คอลเลคชั่น, เซ็นทรา บาย เซ็นทารา และโคซี่

ทั้งนี้แบรนด์โคซี่ ถูกวางตำแหน่งให้เป็น Affordable Hotel เน้นกลุ่มเป้าหมายนักเดินทางยุคดิจิทัลผู้รักอิสระ แบรนด์โคซี่ จะไม่ใช่โรงแรมราคาประหยัดหรือบัดเจ็ด โฮเทล แต่เป็นไลฟ์สไตล์ โฮเทล เน้นการออกแบบที่ทันสมัย มีบริการครบ และรองรับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว

แบรนด์โคซี่ ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 3 แห่งในไทย ได้แก่ โคซี่ สมุย, โคซี่ พัทยา โดยทั้ง 2 โรงแรมเป็นการลงทุนของเซ็นทาราเอง ส่วนโรงแรมแห่งที่ 3 คือ โคซี่ กระบี่ อ่าวนาง บีช ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 เป็นการรับบริหารเป็นที่แรกของแบรนด์โคซี่

โดยโรงแรมโคซี่ กระบี่ อ่าวนาง เป็นของนายธนวัช ภูเก้าล้วน เจ้าของบริษัทชวนพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการในกระบี่ และเป็นหลานชายของนายชวน ภูเก้าล้วน

นางสาวรุจจิเรศ อนัญพงศ์ ผู้จัดการโรงแรมโคซี่ กระบี่ อ่าวนาง บีช เผยว่าโรงแรมโคซี่ กระบี่ อ่าวนาง เป็นโรงแรมแรก ภายใต้แบรนด์โคซี่ ที่เราเข้ารับบริหาร และยังเป็นการลงทุนโรงแรมแห่งแรกของนายธนวัช ภูเก้าล้วน ด้วยจากเดิมที่ทำอสังหาฯแนวราบ และอาคารพาณิชย์ อย่างโครงการเค-อเวนิว กระบี่

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
"เซ็นทารา" ปักธง ‘เซ็นทรา ชะอำ’ ขยายแบรนด์โรงแรม 3 ดาวครึ่ง
เซ็นทารา รุกบริหารเพิ่ม 3 โรงแรมในเมียนมาร์
แพทย์-พยาบาล เฮ “เซ็นทารา” เปิดให้พักฟรี 1 หมื่นห้องทั่วไทย​​​​​​​
“เราเที่ยวด้วยกัน” เซ็นทารา จัดให้ห้องพักเริ่มต้น 960 บาท​​​​​​​
“CENTEL”ควัก5พันล้านเยนลงทุน “เซ็นทารา”โอซาก้า​​​​​​​

โดยทางเจ้าของโรงแรมได้ลงทุนราว 200 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงแรมสไตล์ใหม่ที่มีความทันสมัย เป็นไลฟ์สไตล์ โฮเทล รองรับนักเดินทางยุคใหม่ ในราคาย่อมเยาว์ ซึ่งก็ตรงกับคอนเซ็ปต์แบรนด์โคซี่

โรงแรมโคซี่ กระบี่ อ่าวนาง บีช มีห้องพักทั้งหมด 142 ห้อง มีจุดเด่นด้านการออกแบบที่รองรับกลุ่มนักเดินทางยุคดิจิทัลผู้รักอิสระอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นจุดถ่ายภาพเช็คอินเก๋ๆจากภาพวาดที่สร้างสรรค์จากศิลปินแนวสตรีท อาร์ต ที่มีชื่อเสียง อย่าง “รักกิจ ควรหาเวช”

การดีไซน์สระว่ายน้ำเก๋ๆ ที่มีมิติและออกแนวเซ็กซี่ มีลำโพงใต้น้ำ ถนนหน้าทางเข้าโรงแรม ก็จะเพ้นท์เป็น 3 มิติเพื่อสร้างเอกลักษณ์ในการถ่ายภาพและจุดเช็คอินในแบบไม่เหมือนใคร และเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของอ่าวนาง

รวมถึงการให้บริการพื้นที่โคเวิร์คกิ้งสเปซ ที่เรียกว่า “เดอะ ฮับ” ที่เป็นเหมือนพื้นที่ส่วนกลาง เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน ซึ่งเป็นได้ทั้งห้องนั่งเล่น ชมภาพยนต์ เล่นเกมส์ นั่งทำงาน หรือประชุมได้ ทั้งยังมีคาเฟ่ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง รวมถึงฟิตเนส ที่เปิดรองรับทั้งลูกค้าที่เข้าพัก และคนภายนอกที่สนใจเข้ามาใช้บริการ

ขณะที่ในห้องพัก แม้ขนาดห้องพักจะอยู่ที่ 18-22 ตารางเมตร ขายในราคาย่อมเยา แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ เตียงนอนเป็นระดับเดียวกับที่ใช้ในโรงแรม 5 ดาว ฟรีสัญญาณไวไฟ สมาร์ททีวี พอร์ทยูเอสบี

นางสาวรุจจิเรศ กล่าวต่อว่า การตอบรับของตลาดถือว่าค่อนข้างดีสำหรับโรงแรมที่เพิ่งเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เห็นได้จากยอดจองห้องพักในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ขายได้แล้ว 1,100 รูมไนท์ หรือมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 26% และคาดว่าในเดือนธันวาคมน่าจะมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 38% เพราะมีส่วนหยุดยาวหลายวัน

การจองส่วนใหญ่มาจากไดเร็กต์บุ๊กกิ้ง เนื่องจากโรงแรมเน้นทำตลาดผ่านโซเชียล มีเดีย ทั้งผ่านเฟซบุ๊ก และบล็อกเกอร์ โดยราคาเปิดตัวในช่วงนี้ถึงมีนาคมปีหน้า จะขายราคา 900 บาทต่อคืน โดยลูกค้าจะได้รับเครดิตเงินคืนคนละ 100 บาท เพื่อนำมาแลกเป็นอาหารเช้า ที่จะทานเมื่อไหร่ก็ได้

“การเป็นไลฟ์สไตล์โฮเทล ที่เจาะนักเดินทางยุคดิจิทัล ดีไซน์โรงแรมนอกจากจะต้องเก๋ มีจุดถ่ายรูปเช็คอินที่โดนๆ แล้ว การให้บริการต้องฉีกรูปแบบการให้บริการแบบเดิมๆ แต่เน้นสิ่งที่เป็นไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้” โดยกลุ่มลูกค้าคนไทยจะมาจากกรุงเทพฯ ที่บินตรงมาเที่ยวกระบี่ บางส่วนก็เดินทางจากนครศรีธรรมราช เพื่อไปสักการะไปไอ้ไข่ แล้วมาเที่ยวต่อที่กระบี่ รวมถึงก็มีคนจากภาคกลาง ภาคเหนือ และจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้

ส่วนการทำตลาดในปีหน้าก็ยังคงเน้นที่คนไทยอยู่ซึ่งในช่วง6เดือนแรกของปี 64 คาดว่าจะมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 30-40% และหลังจากเดือนที่ 7 เป็นต้นไป ก็มองว่าถ้ามีการใช้วัคซีนเกิดขึ้น และถ้ามีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้แล้ว ก็มั่นใจว่าเราจะได้ลูกค้าจากตลาดต่างชาติ เนื่องจากเราได้รับการติดต่อจากกลุ่มเอเย่นต์ที่ติดต่อทางโรงแรมเข้ามา ทั้งอินเดีย จีน ที่สนใจนำนักท่องเที่ยวเข้ามา แต่ก็คงต้องรอเพียงการเปิดประเทศเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อยังไม่เปิดประเทศ เราจึงต้องโฟกัสนักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก แม้ว่าฐานลูกค้าของโรงแรมในโซนอ่าวนาง กว่า 70% จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนอีก 30% จะเป็นนักท่องเที่ยวไทย และด้วยความที่เราเจาะลูกค้าคนไทย ทำให้ราคาขายเดิมรามองว่าจะเปิดตัวราคาที่ 1,200-1,800 บาท แต่ในยุคนี้ก็ปรับลดลง 25-30% เพื่อกระตุ้นลูกค้าคนไทย

นอกจากนี้ทางเซ็นทารา ยังมีแผนขยายการรับบริหารภายใต้แบรนด์โคซีเพิ่มอีก 3 แห่ง คือที่ลาว เชียงใหม่ กรุงเทพฯ แต่ต้องชลอไว้ก่อน จากผลกระทบของโควิด-19

หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,632 วันที่ 3 - 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563