“พาณิชย์”ต่อยอดงานวิจัยจากหิ้ง สู่ตลาดสากล จับมือ7 พันธมิตร

12 ม.ค. 2564 | 05:43 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ม.ค. 2564 | 05:47 น.

พาณิชย์ ขยายผลยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” สยายปีกต่อยอดงานวิจัยจากหิ้งสู่ตลาดสากล  จับมือ 7 พันธมิตรด้านวิจัยและนวัตกรรม สนับสนุน SMEs เชื่อมโยงตลาดกับนวัตกรรมสร้างสรรค์อนาคต

นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจของของประเทศมีความเข้มแข็ง ลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับรายได้ของประเทศ โดยเน้นการนำเทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรม มาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการของไทย ที่ต้องการผลักดันยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”

โดยกระทรวงพาณิชย์ต่อยอดขยายความร่วมมือไปยังกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ซึ่งมีนโยบายผลักดันผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมและส่งเสริมธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม หวังเร่งรัดการนำรายได้เข้าประเทศด้วยสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ ชี้โอกาสมีอีกมาก ขอให้ผู้ประกอบการไทยเตรียมพร้อม ปรับตัว พัฒนา เพื่อที่จะไปดักความต้องการของตลาดในอนาคต ชิงสัดส่วนตลาดโลก ปรับฐานสู่การค้ายุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ต่อไป

“พาณิชย์”ต่อยอดงานวิจัยจากหิ้ง  สู่ตลาดสากล จับมือ7 พันธมิตร

“ มั่นใจว่าการทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อทั้งผู้ประกอบการและนักวิจัย โดยเป็นการผสานพลังระหว่างสองกระทรวงในการที่จะเชื่อมโยงตลาดและการผลิต พัฒนาสินค้าและบริการ ตลอดจนยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการให้เข้มแข็งสู้กับคู่แข่งของไทยได้”

“พาณิชย์”ต่อยอดงานวิจัยจากหิ้ง  สู่ตลาดสากล จับมือ7 พันธมิตร

สำหรับภาคการวิจัยของไทยนั้น นับว่ามีความก้าวหน้ามากในระดับสากล และเมื่อประกอบกับแต้มต่อด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าไทยมีจุดแข็งและมีโอกาสที่จะเติบโตไปเป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและมีเทคโนโลยีตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้ไม่ยาก จึงต้องเร่งกระตุ้นให้ผู้ประกอบการในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น SME หรือ Micro SMEs รวมไปถึงกลุ่มผู้ประกอบการ Social Enterprise ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ มาตรฐาน รวมทั้งคุณลักษณะให้มีความแตกต่าง เป็นที่เชื่อมั่นของผู้บริโภคในระดับสากล

 

ด้านนายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า พิธีลงนามข้อตกลง กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ตั้งเป้าจะลดช่องว่างระหว่างตลาดกับการวิจัยและนวัตกรรม สร้างแรงบันดาลใจให้นักวิจัยและผู้ประกอบการไทย โดยมีการให้ความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการของตลาดโลก โดย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ความต้องการสินค้านวัตกรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศ โดยทูตพาณิชย์ 4 แห่ง เครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ และยังมีการแบ่งปันประสบการณ์จากผู้ประกอบการที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในการใช้ตลาดเป็นโจทย์หลักก่อนจะทำการวิจัยยกระดับสินค้า ซึ่งล้วนเป็นบริษัทดาวรุ่งที่น่าจับตามอง ได้แก่ ขนมสัตว์เลี้ยงทำจากแมลง (LAIKA) นวัตกรรมน้ำผลไม้ปลอดน้ำตาลและแคลอรี่ (JuiceInnov8) และ อาหารออร์แกนิคแปรรูปจาข้าวไรซ์เบอรี่ (Jasberry)

“พาณิชย์”ต่อยอดงานวิจัยจากหิ้ง  สู่ตลาดสากล จับมือ7 พันธมิตร

นอกจากนี้ หน่วยงานพันธมิตรทั้ง 7 แห่งยังได้นำตัวอย่างกรณีความสำเร็จที่ผลงานวิจัยที่ออกสู่ตลาดแล้ว โดยนำมาจัดแสดงเพื่อสร้างแรงบันดาลในให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ซึ่งแต่ละรายมีที่มาและนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ เจลล้างมือป้องกันเชื้อโควิดที่ปกป้องยาวนาน 12 ชั่วโมงชนิดแรกในโลก (Besuto 12) นวัตกรรมวัสดุปิดแผลชนิดเจล (blu by Novatech) เครื่องฉายแสงกำจัดแบคทีเรียและไวรัสควบคุมด้วย IOT (Maneejun) และนวัตกรรมน้ำผึ้งพร้อมชง (Bee Smile) เป็นต้น

“พาณิชย์”ต่อยอดงานวิจัยจากหิ้ง  สู่ตลาดสากล จับมือ7 พันธมิตร

ในปี 2564 แม้ว่าจะมีข้อจำกัดอันเกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรมตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าซื้อขายสินค้านวัตกรรมให้ได้สูงขึ้น 2 เท่า และเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมด้านวิจัยและนวัตกรรมเป็น 150 ราย โดยวางแผนส่งเสริม 4 แนวทางหลัก ได้แก่1) การเชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลที่มีคุณภาพเกี่ยวกับตลาดให้กับนักวิจัยเพื่อเข้าถึงความต้องการและแนวโน้มตลาดโลก อาทิ โครงการ DITP business AI  เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของตลาดต่างประเทศ  2) การยกระดับผู้ประกอบการส่งออกของไทยด้วยงานวิจัยและนวัตกรรมผ่านการร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร อาทิ  เป็น 3 กิจกรรม Smart Value Creation (กิจกรรมจับคู่ผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนานวัตกรรมตาม demand จับคู่กับ นักวิจัย เพื่อเลือกซื้อ/ใช้ผลงานวิจัยที่มีอยู่ หรือ ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมที่ตรงตามความต้องการของตลาดโลกร่วมกัน โดยสามารถขอรับทุนจากหน่วยงานพันธมิตรได้)

 

3) การต่อยอดผู้ประกอบการจากหน่วยงานนวัตกรรมให้ได้รับโอกาสขยายช่องทางทางการค้าระหว่างประเทศผ่านเครือข่ายทูตพาณิชย์ 58 แห่งทั่วโลก และผ่านกิจกรรมของกรม เช่น เข้าร่วมงาน Thaifex ในคูหา Innovation Design Zone หรือ นิทรรศการ TIDE (Thailand Innovation & Design Exhibition) รวมทั้งเข้าร่วมเจรจาการค้าในงานงานแสดงสินค้าในตปท. (OBM) และ การจัดแสดงสินค้าในต่างประเทศและเจรจาแบบออนไลน์ (Mirror & Mirror) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กรมได้เร่งปรับรูปแบบเพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาเป็นพิเศษ โดยในเดือนมิถุนายน กรมกำหนดจัดกิจกรรม Mirror & Mirror ณ นครโฮจิมินห์ สำหรับสินค้านวัตกรรมโดยเฉพาะ

​4) การร่วมมือกันเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารกิจกรรมต่างๆ ผ่านทางช่องทางกรมและพันธมิตรด้านนวัตกรรม

“พาณิชย์”ต่อยอดงานวิจัยจากหิ้ง  สู่ตลาดสากล จับมือ7 พันธมิตร

อนึ่ง หน่วยงานวิจัย 7 แห่งที่ร่วมลงนาม MOU ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)  สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.)  สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)(สนช./NIA)  หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้การกำกับของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช. ) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)